ThinkMarketsThinkMarkets
ThinkMarketsThinkMarkets

Forex

ฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละสกุลเงินเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์

บทความ (5)

ทั้งหมด
ผู้เริ่มต้น
ขั้นสูง
วิธีคำนวณกำไรในการเทรด Forex

วิธีคำนวณกำไรในการเทรด Forex

<p>การคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex เป็นความรู้สำคัญที่จำเป็นอย่างมากที่จะทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้ การที่เทรดเดอร์เรียนรู้วิธีการคำนวณกำไรขาดทุนนั้นจะทำให้ทักษะการบริหารความเสี่ยงดีขึ้นเช่นกัน<br /> &nbsp;<br /> การทราบผลกำไรและขาดทุนก่อนที่การเทรดจะเกิดขึ้นจะช่วยให้เราจัดการเงินทุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็จะทราบถึงความเสี่ยงที่กำหนดไว้ในการซื้อขายนั้นๆ และเตรียมความพร้อมทางการเงินและจิตใจสำหรับการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น<br /> &nbsp;<br /> ในบทความนี้ เราจะแนะนำคุณตลอดกระบวนการคำนวณกำไรและขาดทุนในการเทรดฟอเร็กซ์ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประมาณจำนวนเงินที่คุณจะได้หรือขาดทุนในการเทรดที่กำลังจะเกิดขึ้น<br /> &nbsp;</p> <h2 id="กำไรขาดทุนในตลาด forex คืออะไร?">1. กำไรขาดทุนในตลาด forex คืออะไร?</h2> <p>เนื่องจากลักษณะของการเทรดฟอเร็กซ์ ซึ่งคุณสามารถวางตำแหน่งซื้อหรือขายในผลิตภัณฑ์เดียวกันได้ บางคนอาจสับสนเกี่ยวกับการคำนวณกำไรและขาดทุน เมื่อคุณดำเนินการตำแหน่งที่แตกต่างกัน (การซื้อ Long / การขาย Short) ผลลัพธ์จะมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อผลิตภัณฑ์ทางการเงินไปในทิศทางเดียวกัน</p> <h3><br /> 1.1 เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง&nbsp;Long/ซื้อ</h3> <br /> <img alt="ตำแหน่ง Long" src="/getmedia/b706b1b2-955a-4a92-8858-ede220775dc8/long-position-forex.png" title="ตำแหน่ง Long" width="100%" /><br /> &nbsp; <h3>1.2 เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง&nbsp;Short/ขาย</h3> <br /> <img alt="ตำแหน่ง Short" src="/getmedia/7b765eca-cbb0-4674-8fa5-0336ff151db8/short-position-forex.png" title="ตำแหน่ง Short" width="100%" /> <p>&nbsp;<br /> สรุปสั้นๆเมื่อเราถือสถานะ Long เราจะได้กำไรเมื่อสินค้าขึ้น เมื่อเราถือสถานะ Short เราจะได้กำไรเมื่อสินค้าลดลง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราจะได้กำไรจากทิศทางที่แตกต่างกันเมื่อเราถือตำแหน่งประเภทต่างๆ ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้สูตรการคำนวณกำไรและขาดทุนในตลาด Forex<br /> &nbsp;</p> <h2 id="วิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex">2. วิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex</h2> <p>สูตรการคำนวณกำไรขาดทุนฟอเร็กซ์นั้นตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายนิดเดียว นี่คือสูตรการคำนวณกำไรขาดทุนในฟอเร็กซ์:</p> <p>&nbsp;</p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>คํานวณกําไรขาดทุน = ขนาด Lot X ค่า Pip X จํานวน Pip</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p>&nbsp;<br /> ข้อกังวลเพียงอย่างเดียวคือคุณควรมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับองค์ประกอบของสูตร ส่วนประกอบเหล่านี้เป็นพื้นฐานพื้นฐานที่คุณควรทราบหากคุณต้องการซื้อขายฟอเร็กซ์ตั้งแต่แรก ซึ่งได้แก่ ขนาดล็อต มูลค่า <strong>Pip</strong> และจำนวน Pip</p> <h3><br /> 2.1 ขนาดล็อต</h3> <p>Lot มาตรฐานในฟอเร็กซ์โดยทั่วไปคือ 100,000 หน่วยของสินทรัพย์หลักที่อ้างอิงถึงสินทรัพย์นั้น 1 Lot EURUSD มีมูลค่า 100,000 ยูโร (100,000 หน่วย * 1 ยูโร) หรือ 1 Lot ของ USDJPY มีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ (100,000 หน่วย * 1 ดอลลาร์)<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ที่แตกต่างกันอาจมีขนาดสัญญาที่แตกต่างกันตามประเภทสินทรัพย์ เช่น XAUUSD โดยขนาดสัญญาอยู่ในหน่วยทรอยออนซ์</p> &nbsp; <h3>2.2 จำนวน Pip</h3> Pip ย่อมาจาก &ldquo;Percentage in Point&rdquo; ซึ่งค่านี้มักจะเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยที่สุดของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในฟอเร็กซ์หรือ CFD ตัวอย่างเช่น หากราคาของ EURUSD ขยับขึ้นจาก 1.0159 เป็น 1.0160 การเคลื่อนไหว 0.0001 นั้นจะเท่ากับ 1 pip<br /> &nbsp; <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="width:100%;"> <tbody> <tr> <td style="padding-left:10px;">ข้อควรรู้:<br /> โบรกเกอร์สมัยใหม่อย่าง <a href="/th/" target="_blank"><strong><u>ThinkMarkets</u></strong> </a> มอบแพลตฟอร์มการเทรดที่มีความแม่นยำสูงให้กับลูกค้าโดยให้ตำแหน่งทศนิยมเพิ่มเติมแก่เทรดเดอร์ เช่น 1.01590 ซึ่งเรียกว่า Pipette หรือ Point</td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> ดังนั้น pip จึงเป็นทศนิยมตำแหน่งที่สองสุดท้ายในกราฟของโบรกเกอร์สมัยใหม่ วิธีที่ง่ายกว่าในการวัดจำนวน pip (การเคลื่อนไหวของราคา) คือการใช้เครื่องมือ &ldquo;Measure&rdquo; บน ThinkTrader หรือเครื่องมือ &ldquo;Crosshair&rdquo; บน MetaTrader<br /> &nbsp;<br /> บน ThinkTrader เทรดเดอร์สามารถใช้เครื่องมือวัดตามที่แสดงในวงกลมสีแดง จากนั้นคลิกที่จุดสองจุดที่คุณต้องการวัดระยะทาง</p> &nbsp;<br /> <img alt="เครื่องมือวัดผล ThinkTrader" src="/getmedia/64a67fd6-1106-4f9d-8fcb-12fc119c6cbc/thinktrader-measure-tool.png" title="เครื่องมือวัดผล ThinkTrader" width="100%" /><br /> &nbsp; <p>ผลลัพธ์ของการวัดนี้ให้ออกมาเป็น 1,375 Point และในการแปลง Point เหล่านี้กลับเป็น Pip เพียงหาร Point ด้วย 10 แล้วคุณจะได้ระยะทาง 137.5 pip</p> &nbsp; <h3>2.3 มูลค่า Pip</h3> <p>มูลค่า Pip คือมูลค่าเงิน (โดยปกติเป็น USD) ที่เราจะได้รับจากการเคลื่อนไหว 1 Pip เมื่อเราถือเทรดออร์เดอร์ 1 ล็อตมาตรฐาน</p> &nbsp; <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>ขนาด Lot X ตําแหน่งทศนิยมของ Pip = ค่า Pip</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> ดังนั้นในคู่ EUR/USD มูลค่า Pip ของล็อตมาตรฐานจะเป็นดังที่แสดงด้านล่าง:</p> &nbsp; <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>100,000 (1 Lot) * 0.0001 (ตําแหน่งทศนิยมของ 1 Pip สกุลเงินอ้างอิง) = 10 USD</strong></td> </tr> </tbody> </table> &nbsp; <div> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="padding-left:10px;">*โปรดทราบว่าเมื่อสกุลเงินอ้างอิงเป็นสกุลเงินอื่น เช่น USD / JPY หรือ USD/CAD เราจำเป็นต้องแปลงมูลค่าเป็น USD โดยการแปลงเงินกลับมาจากสกุลเงินอ้างอิงให้เป็น USD ตัวอย่างเช่น 1 Lot ของ USD/JPY สูตรของมูลค่า Pip กลายเป็น:<br /> &nbsp; <div>Pip Value = 100,000 * 0.01 (ตำแหน่งทศนิยมของ Pip) = 1000 Yen / 155.70 (อัตราแลกเปลี่ยน USDJPY) = 6.42 USD</div> </td> </tr> </tbody> </table> </div> <p><br /> เมื่อเรามีตัวแปร 3 ตัวในการคำนวณ PnL ของเราแล้ว เราก็เพียงเพิ่มตัวแปรเหล่านั้นลงในสูตรการคำนวณของเราเพื่อให้ได้มูลค่า Pip ที่แน่นอนสำหรับกำไรและขาดทุนของเรา<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น เรากำลังเทรด EURUSD long ที่ 0.5 ล็อต โดยมีจุดตัดการขาดทุนที่ 12 Pip และจุดทำกำไรที่ 24 Pip ซึ่งเป็นอัตราส่วน Risk to Reward ที่ 1:2<br /> &nbsp;<br /> เราสามารถคำนวณจุดตัดขาดทุนและทำจุดกำไรในรูปของจำนวนเงินได้อย่างง่ายดาย<br /> &nbsp;<br /> จุดตัดขาดทุน:<br /> &nbsp;</p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px"><strong>จุดตัดขาดทุน​ = 0.5 Lot X 10 X 12 Pip = $60</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p style="text-align: center;">&nbsp;</p> <p>จุดทำกำไร:<br /> &nbsp;</p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>จุดทำกำไร&nbsp;</strong><strong>= 0.5 Lot X 10 X 24 Pip = $120</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p>&nbsp;<br /> ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการคำนวณมาก เนื่องจากเมื่อคุณทำการเทรดมาสักระยะหนึ่ง คุณก็จะสามารถประมาณ Stop loss และ Take profit ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วในหัวของคุณ<br /> &nbsp;<br /> อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ชอบการคำนวณจริงๆ คุณสามารถลองเปลี่ยนไปใช้ ThinkMarkets ได้ เนื่องจากแพลตฟอร์มของเราสามารถช่วยคุณในการคำนวณได้</p> <h2 id="แพลตฟอร์มที่ช่วยคำนวณกำไรและขาดทุน">3. แพลตฟอร์มที่ช่วยคำนวณกำไรและขาดทุน</h2> <p>บน ThinkMarkets เรามี 3 แพลตฟอร์มที่พร้อมใช้งานสำหรับเทรดเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นบน ThinkTrader, MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถช่วยเทรดเดอร์คำนวณกำไรขาดทุนสำหรับการเทรดในตลาด Forex ได้<br /> &nbsp;<br /> บน ThinkTrader เมื่อคุณเปิดหน้าต่างการซื้อขายที่มุมขวาบน คุณสามารถตั้งค่าประเภทคำสั่งซื้อขายใดก็ได้ที่คุณใช้จาก &ldquo;Limit Order&rdquo; &ldquo;Stop Order&rdquo; และ &ldquo;Market Order&rdquo; ตัว &ldquo;Amount&rdquo; ที่แสดงอยู่ใน ThinkTrader คือขนาดของสัญญาดังนั้น 100,000 บนพวกคู่สกุลเงินหลักจึงเทียบเป็น 1 Lot มาตรฐานเหมือนกับในพวกแพลตฟอร์ม MetaTrader<br /> &nbsp;<br /> <img alt="อินเทอร์เฟซการซื้อขายของ ThinkTrader" src="/getmedia/dd324f62-f025-451a-ac22-be4b1f77cb21/thinktrader-trading-interface.png" title="อินเทอร์เฟซการซื้อขายของ ThinkTrader" width="100%" /><br /> &nbsp;<br /> นอกจากนี้ เมื่อคุณปรับจำนวนสัญญาการซื้อขายของคุณ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลง &ldquo;Pip Cost&rdquo; ซึ่งก็คือ ค่า Pip/Pip Value ที่จะอัพเดทแบบเรียลไทม์ว่ากำไรขาดทุนของคุณเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดต่อ Pip<br /> <br /> คุณยังสามารถเปิด &ldquo;Take Profit&rdquo; และ &ldquo;Stop Loss&rdquo; ได้โดยคลิกที่สองแท็บด้านล่างแล้วใส่ราคาโดยตรง หรือ ใส่เป็นแบบจำนวน Pip หรือ ใช้เมาส์เพื่อปรับ &ldquo;Take Profit&rdquo; และ &ldquo;Stop Loss&rdquo; โดยการลากบนกราฟโดยตรงได้เลย<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ตั้งค่าหยุดการขาดทุนและทำกำไร" src="/getmedia/1ee259af-ca7d-490d-bc63-e39c884c91d1/stop-loss-and-take-profit-setting.png" title="ตั้งค่าหยุดการขาดทุนและทำกำไร" width="100%" /><br /> <br /> สำหรับแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 และ 5 คุณสามารถตั้งจุดทำกำไรและตัดขาดทุนได้โดยเปิดหน้าต่าง &ldquo;New Order&rdquo; ด้วย F9 เทรดเดอร์สามารถกำหนดราคาเข้าเทรด, จุดตัดขาดทุน, และ จุดทำกำไรได้<br /> &nbsp;<br /> หรือเทรดเดอร์สามารถตั้งค่าคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Order) และใช้เมาส์ของคุณเพื่อลากคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการไปยังราคาที่ต้องการ<br /> &nbsp;<br /> <img alt="สั่งซื้อบน MT4 หรือ MT5" src="/getmedia/75389012-48e2-4d21-8c39-7be642c56daf/place-order-on-mt4-or-mt5.png" title="สั่งซื้อบน MT4 หรือ MT5" width="100%" /><br /> &nbsp;<br /> เมื่อคุณวางคำสั่งที่รอดำเนินการ Take Profit และ Stop Loss คุณสามารถใช้เมาส์เพื่อลากคำสั่งที่รอดำเนินการ จุดตัดขาดทุน และ จุดทำกำไร ไปยัง Pip หรือ ราคาที่คุณต้องการได้<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ตรวจสอบกำไรและขาดทุนใน forex" src="/getmedia/e486ffa6-a8f1-4a21-9ea2-4b1c7a438b52/check-profit-and-loss-in-forex.png" title="ตรวจสอบกำไรและขาดทุนใน forex" width="100%" /><br /> &nbsp;<br /> หากต้องการตรวจสอกำไรขาดทุนของการเทรดนั้นๆ เพียงวางเมาส์ของคุณไว้บนจุดหยุดขาดทุนและทำกำไร จากนั้นก็จะมีวินโดว์ที่แสดงจำนวนเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐและระยะทางเป็น Point<br /> &nbsp;</p> <h2 id="บทสรุป">4. บทสรุป</h2> <p>การทำความเข้าใจวิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex และการนำข้อมูลนั้นไปใช้กับการเทรดของคุณสามารถช่วยพัฒนาทักษะการบริหารความเสี่ยงของคุณได้ซึ่งในความเห็นของฉันจากประสบการณ์ที่ได้เจอมาในตลาด Leveraged การบริหารความเสี่ยงคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้กับเทรดเดอร์ที่ขาดทุน<br /> &nbsp;<br /> การคำนวณกำไรขาดทุนต้องใช้ตัวแปร 3 ตัว ได้แก่ ขนาด Lot/Lot Size ค่า Pip/Pip Value และ จำนวน Pip เราเพียงคูณตัวแปร 3 ตัวเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้กำไรขาดทุนเป็นตัวเงินจากการเทรดนั้นๆ<br /> &nbsp;<br /> อย่างไรก็ตาม หากเทรดเดอร์ไม่อยากมานั่งคำนวณซ้ำแล้วซ้ำอีก เทรดเดอร์สามารถลองใช้แพลตฟอร์มของเราได้ไม่ว่าจะบน ThinkTrader, MetaTrader 4 และ 5 เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้จะคำนวณกำไรขาดทุน และ ข้อมูลที่จำเป็นและตัวแปรสำคัญอื่นๆ ให้สำหรับเทรดเดอร์ทันที่<br /> &nbsp;</p>

6 min readผู้เริ่มต้น
Forex คืออะไร? บทนำสู่การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

Forex คืออะไร? บทนำสู่การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

<style type="text/css">.custom-list-container ul li{ display: flex; padding-bottom: 0px; flex-direction: column; } .custom-list-container ul li h4{ margin-top: -24px; } .custom-list-container p{ padding-left: 0em; margin-bottom: 2em; } .custom-list-container{ margin-top: 24px; } </style> <p>คุณอาจเคยได้ยินคนบนท้องถนนหรือโฆษณาบนสื่อที่พูดถึง Forex แต่ <strong>Forex คืออะไร</strong>? ส่วนที่น่าสนใจของ Forex คืออะไร? ใครคือผู้เล่นในตลาดนี้? ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อขายในตลาด Forex มีอะไรบ้าง? และปัจจัยใดที่ขับเคลื่อนราคาในตลาด Forex?<br /> &nbsp;</p> <p>ในบทความนี้ เราจะได้ทราบคำตอบของคำถามข้างต้นทั้งหมด<br /> &nbsp;</p> <h2>Forex คืออะไร?</h2> <p>Forex Exchange หรือ Forex (FX) &nbsp;คือตลาดที่เราซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศและอนุพันธ์ของสกุลเงิน โดยแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งทำให้มีข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าสกุลเงินต่างๆ จะถูกซื้อขายเป็นคู่ เช่น <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EUR/USD</a>, USD/JPY<br /> &nbsp;</p> <p>เมื่อเราซื้อขายฟอเร็กซ์ โดยทั่วไปแล้วเราจะซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน<br /> &nbsp;</p> <p>*การซื้อขายฟอเร็กซ์มักถูกสับสนกับการซื้อขาย CFD (สัญญาส่วนต่าง) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น ดัชนี หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล แม้ว่าสินทรัพย์ที่มีให้เลือกอาจแตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ CFD ในบทความอื่น<br /> &nbsp;</p> <h2>ตลาด Forex คืออะไร?</h2> <p>ตลาดฟอเร็กซ์หรือที่เรียกกันว่าตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ<strong> </strong>หมายถึง<strong>ตลาดโลกที่จับคู่และแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ </strong>ตลาดนี้เปิดทำการตลอด<strong> 24 ชั่วโมง 5 วัน</strong>ต่อสัปดาห์<br /> &nbsp;</p> <p>อย่างไรก็ตาม ตลาดฟอเร็กซ์ไม่ได้เป็นสถานที่ทางกายภาพเหมือนกับพื้นที่ซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แต่การซื้อขายเหล่านี้จะดำเนินการผ่านระบบ <strong>Over The Counter (OTC)</strong> ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการซื้อขายแบบ<strong>กระจายอำนาจผ่านนายหน้า</strong> การซื้อขายเกิดขึ้นโดยตรงระหว่างสองฝ่ายโดยไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าในตลาดอื่นๆ<br /> &nbsp;</p> <h2>ทำความเข้าใจคู่สกุลเงิน</h2> <p>คู่สกุลเงินคือคู่ที่ประกอบด้วยสกุลเงินสองสกุลที่แตกต่างกัน ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำทีละขั้นตอนในการอ่านคู่สกุลเงิน</p> <h3 style="font-size:22px">1. ชื่อและรหัสของสกุลเงิน</h3> <p>สกุลเงินแต่ละสกุลจะมีรหัสย่อของตัวเอง ต่อไปนี้คือรหัสและชื่อของสกุลเงินหลัก:</p> <img alt="ภาพประกอบและชื่อสกุลเงินหลักของโลก" src="/getmedia/08294f9b-d67d-4f52-acdb-9724656f12e9/codes-and-names-of-major-currencies.webp" title="ภาพประกอบและชื่อสกุลเงินหลักของโลก" width="100%" /> <ul> <li>USD &ndash; ดอลลาร์สหรัฐฯ (สหรัฐอเมริกา)</li> <li>EUR &ndash; ยูโร (ยูโรโซน)</li> <li>JPY &ndash; เยนญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น)</li> <li>GBP &ndash; ปอนด์อังกฤษ (สหราชอาณาจักร)</li> <li>AUD &ndash; ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ออสเตรเลีย)</li> <li>CAD &ndash; ดอลลาร์แคนาดา (แคนาดา)</li> <li>CHF &ndash; ฟรังก์สวิส (สวิตเซอร์แลนด์)</li> <li>NZD &ndash; ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (นิวซีแลนด์)</li> </ul> <h3 style="font-size:22px">2.&nbsp;สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง</h3> <p>หลังจากที่เรารู้รหัสของสกุลเงินแต่ละสกุลแล้ว เราก็ต้องรู้จักสกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิงในคู่สกุลเงินนั้น ๆ ทุกครั้งที่เราพิจารณาคู่สกุลเงินใดคู่หนึ่ง เราจะเห็นสกุลเงิน <strong>2 สกุลเสมอ คือ สกุลหนึ่งเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง</strong></p> <img alt="สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง" src="/getmedia/ce417ea2-14de-46af-a70a-3dd36ef5aaea/base-and-quote-currency.webp" title="สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง" width="100%" /> <p><br /> <strong>สกุลเงินแรก</strong>ในคู่เรียกว่า<strong>สกุลเงินฐาน (Base Currency)</strong> ซึ่งเป็นรหัสที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของคู่ <strong>สกุลเงินที่สอง</strong>ในคู่เรียกว่า<strong>สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency)</strong> ซึ่งจะอยู่ทางด้านขวามือของคู่<br /> &nbsp;</p> <p>สกุลเงินพื้นฐานและสกุลเงินอ้างอิงเป็นพื้นฐานของคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น EURUSD มี EUR เป็นสกุลเงินพื้นฐานและ USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง<br /> &nbsp;</p> <p>ดังนั้น เมื่อทำ Long หรือซื้อ EURUSD หมายความว่าคุณกำลังขาย USD เพื่อซื้อ EUR ในทางกลับกัน หากทำ Short หรือขาย หมายความว่าคุณกำลังขาย EUR เพื่อซื้อ USD<br /> &nbsp;</p> <p>โดยปกติแล้ว มูลค่าของสกุลเงินพื้นฐานจะเท่ากับ 1 และมูลค่าของสกุลเงินจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ และราคาเสนอซื้อและเสนอขายก็แตกต่างกันด้วย<br /> &nbsp;</p> <h3 style="font-size:22px">3. ประเภทของคู่สกุลเงิน</h3> <p>แม้ว่าสกุลเงินทั้งหมดจะซื้อขายกันเป็นคู่ แต่ก็มีบางหมวดหมู่ที่แบ่งคู่สกุลเงินเหล่านี้ออกได้ คู่สกุลเงินแบ่งออกเป็น <strong>3 หมวดหมู่หลัก</strong> ตั้งแต่คู่ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดไปจนถึงคู่ที่ไม่มีการซื้อขายเป็นประจำ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินหลัก:</h4> </li> </ul> <p>คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด สกุลเงินหลักของโลกที่จับคู่กับ USD ซึ่งเป็นสกุลเงินจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตัวอย่างของคู่สกุลเงินหลัก ได้แก่ EURUSD, USDJPY, GBPUSD และอื่นๆ อีกมากมาย</p> <ul> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินรอง:</h4> </li> </ul> <p>คู่สกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูงแต่ต่ำกว่าคู่สกุลเงินหลัก โดยทั่วไปคู่สกุลเงินหลักทั่วโลกจะจับคู่กันเอง ยกเว้น USD ตัวอย่างของคู่สกุลเงินเหล่านี้ ได้แก่ EURGBP, GBPJPY, EURJPY เป็นต้น</p> <ul> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินเอ็กโซติค (Exotic):</h4> </li> </ul> </div> <p>เป็นสกุลเงินที่ไม่ได้มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายแต่ยังคงมีให้ซื้อขายได้ สกุลเงินเหล่านี้มาจากประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจน้อยกว่า ตัวอย่างของสกุลเงินเหล่านี้ ได้แก่ USDTHB, USDZAR, USDSGD เป็นต้น<br /> &nbsp;</p> <h2>ใครคือผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด Forex?</h2> <p>มีผู้เล่นหลายรายภายในตลาดฟอเร็กซ์ตั้งแต่บุคคลธรรมดาไปจนถึงบริษัทหลายพันล้าน</p> <h3 style="font-size:22px">1.&nbsp;ธนาคารกลาง</h3> <p>ธนาคารแห่งชาติของแต่ละประเทศที่ควบคุมนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ฯลฯ</p> <h3 style="font-size:22px">2. ธนาคารพาณิชย์</h3> <p>ธนาคารพาณิชย์คือธนาคารที่ประชาชนอย่างเราคุ้นเคยในการติดต่อกันทุกวัน เช่น JPMorgan Chase, Citibank, Goldman Sachs, Capital One Bank เป็นต้น</p> <h3 style="font-size:22px">3.&nbsp;กองทุนป้องกันความเสี่ยงและบริษัทการลงทุน (Hedge Fund)</h3> <p>เหล่านี้เป็นกองทุนส่วนตัวที่ผู้เชี่ยวชาญจะลงทุนเงินของคุณและรับส่วนแบ่งจากกำไรที่ทำได้ เช่น Citadel LLC, Renaissance Technology, Bridgewater Associates และบริษัทการลงทุนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน</p> <h3 style="font-size:22px">4.&nbsp;บริษัทข้ามชาติ</h3> <p>บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่บางแห่งที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะถือหรือป้องกันความเสี่ยงของสกุลเงินที่พวกเขาจะต้องใช้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโครงการหรือการทำงานให้กับบริษัทของพวกเขา การทำเช่นนี้ช่วยป้องกันความผันผวนของต้นทุนอันเนื่องมาจากตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา</p> <h3 style="font-size:22px">5.&nbsp;&nbsp;ผู้ค้าปลีก</h3> <p>ผู้ค้าปลีกคือบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือองค์กรใดๆ และพยายามแสวงหากำไรจากความผันผวนภายในตลาด<br /> &nbsp;</p> <p>ผู้เล่นเหล่านี้ล่วนมีส่วนร่วมในตลาด Forex ไม่มากก็น้อย ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อขายในตลาด Forex คือสกุลเงิน และ ในบทต่อไปนี้ เราจะเรียนรู้พื้นฐานของคู่สกุลเงิน<br /> &nbsp;</p> <h2>ปัจจัยที่มีผลต่อคู่เงินฟอเร็กซ์ (ปัจจัยพื้นฐานของฟอเร็กซ์)</h2> <p>มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ส่งผลต่อราคาของคู่สกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์ ปัจจัยที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือ<strong>ปัจจัยมหภาค</strong>ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในวงกว้างและส่งผลโดยตรงต่อ<strong>อุปทานและอุปสงค์</strong>ของสกุลเงินแต่ละสกุล<br /> &nbsp;</p> <p>เราจะครอบคลุมถึงปัจจัยมหภาคที่สำคัญบางประการที่อาจส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อตลาดฟอเร็กซ์</p> <h3 style="font-size:22px">1.&nbsp;อัตราเงินเฟ้อ</h3> <p>เงินเฟ้อคือการลดลงของอำนาจซื้อของเงิน และอัตราเงินเฟ้อคืออัตราที่เกิดขึ้น<br /> &nbsp;</p> <p>ข้อมูลนี้ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะมีนโยบายการเงินของตนเองเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อนี้ให้อยู่ใน &ldquo;อัตราที่เหมาะสม&rdquo; ตามนโยบายของตนเอง</p> <h3 style="font-size:22px">2. อัตราดอกเบี้ย</h3> <p>อัตราดอกเบี้ยคือต้นทุนในการกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศ</p> <h3 style="font-size:22px">3.&nbsp;การเติบโตทางเศรษฐกิจ</h3> <p>การเติบโตทางเศรษฐกิจวัดได้จากหลายปัจจัยที่ประกอบขึ้นจากภาคส่วนต่างๆ ของรายงานเศรษฐกิจ ข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากภาวะตลาดแรงงาน การเติบโตหรือการหดตัวของภาคส่วนต่างๆ ในตลาด และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย<br /> &nbsp;</p> <p>แต่ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจเหล่านี้มีการรายงานตาม<a href="/th/trading-academy/thinktrader/calendar-interface/" target="_blank">ตารางในปฏิทินเศรษฐกิจ</a> ข้อมูลที่สามารถบ่งชี้ถึงสภาพตลาดแรงงานได้ เช่น ข้อมูลการยื่นขอสวัสดิการว่างงาน อัตราการว่างงาน การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตร รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง และอื่นๆ</p> <h3 style="font-size:22px">4.&nbsp;&nbsp;เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์</h3> <p>เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์อาจเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดจากปัญหาต่างๆ ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง<br /> &nbsp;</p> <p>ตัวอย่างของเหตุการณ์เหล่านี้ ได้แก่ สงคราม โรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาโลกอื่นๆ</p> <h3 style="font-size:22px">5. การเก็งกำไรทางการตลาด</h3> <p>การเก็งกำไรในตลาดเป็นรูปแบบหนึ่งของอารมณ์ของตลาด โดยตลาดโดยรวมอาจเกิดความมั่นใจหรือหวาดกลัวต่อการลงทุน บางครั้งเราอาจเห็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป ซึ่งเป็นผลมาจากความกลัวและความโลภภายในตลาด<br /> &nbsp;</p> <h2>บทสรุป</h2> <p>ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้ว่า Forex หรือ Foreign Exchange ตลาด Forex เป็นสถานที่ (OTC) สำหรับผู้เข้าร่วมในการซื้อหรือขายสกุลเงิน มีผู้เล่นรายใหญ่บางรายที่เคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้งในตลาดนี้<br /> &nbsp;</p> <p>ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายในตลาด Forex คือสกุลเงิน และสกุลเงินมักจะซื้อขายเป็นคู่ สกุลเงินทางด้านซ้ายมือคือสกุลเงินฐานและสกุลเงินทางด้านขวามือคือสกุลเงินอ้างอิง มีสกุลเงิน 8 ประเภทที่ซื้อขายบ่อยครั้ง คู่สกุลเงินเหล่านี้เรียกอีกอย่างว่าสกุลเงินหลัก<br /> &nbsp;</p> <p>มีปัจจัยบางอย่างที่เราต้องตระหนักหากต้องการเก็งกำไรมูลค่าของสกุลเงิน เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง การเติบโตทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์</p>

11 min readผู้เริ่มต้น
การซื้อขาย Forex คืออะไร? คู่มือสำหรับมือใหม่ในการเทรด Forex

การซื้อขาย Forex คืออะไร? คู่มือสำหรับมือใหม่ในการเทรด Forex

<p>ตลาด <a href="https://www.thinkmarkets.com/th/trading-academy/forex/what-is-forex/" target="_blank">forex</a> หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันอยู่ที่ 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปริมาณการซื้อขาย 200,000-500,000 พันล้านดอลลาร์อย่างมาก ทำให้การเทรดและเลี้ยงชีพด้วยการเทรด forex เป็นไปได้<br /> <br /> ก่อนอื่น เราต้องรู้พื้นฐานพื้นฐานของ forex ก่อน แม้ว่าการเทรด forex อาจดูซับซ้อนเนื่องจากศัพท์เทคนิครวมถึงกราฟที่ยุ่งยาก แต่เราสามารถจัดการได้ง่ายขึ้นหากเทรดเดอร์มีความคุ้นเคยในตลาดแล้ว<br /> <br /> ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญทั้งหมดของตลาด forex ที่จะพัฒนาคุณจากมือใหม่ให้กลายเป็นมืออาชีพในการเทรด forex &nbsp;การเดินทางในตลาดนี้อาจยาวนาน แต่ก็คุ้มค่า</p> <h2>การซื้อขาย Forex คืออะไร?</h2> <p>การลงทุนในตลาด forex นั้นเกี่ยวข้องกับการ<strong>ซื้อและขายสกุลเงิน</strong> มันคือการแปลงสกุลเงินหนึ่งเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ นักลงทุน บริษัทข้ามชาติ ฯลฯ สามารถแปลงสกุลเงินของตนเป็นสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นได้ มันคือการดำเนินการในระดับโลกที่สกุลเงินจากประเทศต่างๆ<br /> <br /> แต่ที่จุดเริ่มต้นในตอนนี้ เราจะมุ่งเน้นเฉพาะส่วนของการเทรด forex ที่ช่วยให้เราเก็งกำไรราคาของคู่สกุลเงิน forex และ กำไรจากการเก็งกำไรเหล่านั้น<br /> <br /> มี 2 ​​วิธีในการ<strong>สร้างกำไรในการเทรด Forex:</strong><br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>ซื้อ (Long) คู่สกุลเงิน (EUR/USD):</strong><br /> <br /> เมื่อเราคาดการณ์ว่ามูลค่าของสกุลเงินฐาน (EUR) จะแข็งกว่าสกุลเงินอ้างอิง (USD) เราสามารถเข้าสู่ตำแหน่งซื้อใน <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EUR/USD</a> ได้<br /> <br /> เมื่อค่าเงินฐาน (EUR) สูงกว่าค่าเงินอ้างอิง (USD) เราก็จะกำไรได้ แต่ถ้าสถานการณ์จริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็อาจเกิดการขาดทุนได้</li> </ul> &nbsp; <ul> <li><strong>ขาย (Short) คู่สกุลเงิน (USD/JPY):</strong><br /> <br /> เมื่อเราคาดการณ์ว่าค่าเงินฐาน (USD) จะอ่อนค่าลงกว่าค่าเงินอ้างอิง (JPY) เราสามารถเปิดสถานะขายชอร์ต USD/JPY ได้<br /> <br /> เมื่อค่าเงินฐาน (USD) อ่อนค่าลงกว่าค่าเงินอ้างอิง (JPY) เราก็จะได้กำไร แต่ถ้าสถานการณ์จริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็จะเกิดการขาดทุน<br /> <br /> มีหลายวิธีในการซื้อขาย forex ผ่านสัญญาการเทรดต่างๆ ในบทต่อไปนี้เราจะแนะนำชนิดของสัญญาเทรด forex ที่พบได้ทั่วไปที่สุด</li> </ul> <h2>ประเภทของผลิตภัณฑ์ Forex ที่เราสามารถเทรดได้</h2> <p>ตลาด forex มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภท เนื่องจากมีสัญญาและผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภทที่สร้างขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน ด้านล่างนี้คือผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั่วไปบางส่วน:</p> <h3>1.&nbsp;Forex Spot:</h3> <p>ตลาดสปอตหมายถึงสัญญาประเภทหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินจะถูกซื้อขายทันทีเพื่อแลกกับเงินสดเมื่อทำการซื้อขาย สัญญาประเภทนี้เหมาะกับการลงทุนการลงทุนระยะยาวมากกว่า</p> <h3>2. Forex Forwards:</h3> <p>ตลาดฟอร์เวิร์ดเป็นสัญญาอีกประเภทหนึ่งที่ทำขึ้นระหว่างสองฝ่ายเพื่อป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถล็อกอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงินเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนเมื่อทำข้อตกลง/โครงการ</p> <h3>3.&nbsp;Forex Futures</h3> <p>สัญญาฟิวเจอร์สเป็นข้อตกลงในการซื้อ/ขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดในอนาคต สัญญาฟิวเจอร์สสามารถใช้เป็นการป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงหรือใช้ในการเทรดเพื่อเก็งกำไรในตลาด</p> <h3>4.&nbsp;Forex CFDs:</h3> <p>CFDs หรือสัญญาส่วนต่างเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อการเทรดแบบเก็งกำไรโดยเฉพาะ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ทำให้ลดต้นทุนของธุรกรรมได้ ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ CFD มี<a href="/th/trading-academy/terminologies/leverage-and-margin/" target="_blank">เลเวอเรจ</a>ที่สูงขึ้น ต้นทุนการเทรดที่ลดลง และสามารถเทรดได้ทั้งแบบ long และ short</p> <h2>อ่านราคา Forex ได้อย่างไร?</h2> <p>ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด forex &nbsp;คุณต้องรู้วิธีการอ่านราคาคู่สกุลเงิน ด้านล่างนี้คือราคาคู่สกุลเงิน (EURUSD):</p> <img alt="สเปรดราคาซื้อ-ขายของ EURUSD" src="/getmedia/dbf288a9-480d-4ec2-9484-ea22392b87db/bid-ask-spread-of-eur-usd.webp" title="สเปรดราคาซื้อ-ขายของ EURUSD" width="100%" /> <p><br /> ภายในใบเสนอราคานี้ มีข้อมูลหลายส่วน ตามภาพด้านบน</p> <h3>1. รหัสและชื่อของคู่สกุลเงิน</h3> <p>ทางด้านซ้ายมือของใบเสนอราคาจะแสดงรหัสของคู่สกุลเงิน (EURUSD) ด้านล่างของรหัสจะเป็นชื่อจริงของคู่สกุลเงิน (ยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ)</p> <h3>2. ราคาเสนอซื้อ</h3> <p>ทางด้านขวามือจะมีตัวเลขมากมาย ช่องที่ 1 จะแสดงราคาเสนอซื้อสกุลเงิน เมื่อเราต้องการเข้าสถานะขาย ราคาเสนอซื้อจะเป็นราคาที่เราจะอ้างอิงถึง</p> <h3>3. ราคาเสนอขาย</h3> <p>พื้นที่หมายเลข 2 แสดงราคาเสนอขายสกุลเงินนั้นๆ เมื่อเราต้องการเข้าสถานะซื้อ ราคาเสนอขายคือราคาที่เราจะอ้างอิงถึง</p> <h3>4. สเปรด</h3> <p>คอลัมน์สีขาวระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย แสดงค่าสเปรดส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย ต้นทุนการเทรดจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าสเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายเพิ่มขึ้น</p> <h3>5. ราคาต่ำสุด</h3> <p>ตัวเลขด้านล่างราคาเสนอซื้อแสดงราคาต่ำสุดของวัน</p> <h3>6. ราคาสูงสุด</h3> <p>ตัวเลขด้านล่างราคาเสนอขายแสดงราคาสูงสุดของวัน<br /> &nbsp;</p> <p>เราจะอธิบายส่วนประกอบเหล่านี้โดยละเอียดในบทความ Bid, Ask &amp; Spreads</p> <h2>Pips and pipette (ticks) ในการเทรด forex</h2> <p>Pip คือหน่วยวัดที่ใช้ระบุการเปลี่ยนแปลงของค่าในคู่สกุลเงิน โดยมีค่าประมาณ 0.0001 เซ็นต์ในคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ เมื่อคู่สกุลเงินขยับขึ้น 1 pip หมายความว่าค่าของคู่สกุลเงินจะเพิ่มขึ้น 0.0001 ในกรณีส่วนใหญ่<br /> &nbsp;</p> <img alt="Pip และ Pipette" src="/getmedia/723617c1-9ff8-45fc-9232-6c78bf89fc36/pip-and-pipette-in-forex.webp" title="Pip และ Pipette " width="70%" /> <p><br /> ข้อมูลนี้จำเป็นต่อการคำนวณผลกำไรจากการเทรดของคุณ ดังนั้น คุณต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ Pip ก่อนเริ่มเส้นทางการเทรด Forex</p> <h2>จะทำกำไรจากการเทรด forex ได้อย่างไร?</h2> <p>มีสองวิธีในการสร้างกำไรจากการเทรด forex :</p> <h3>1. ซื้อ (Long):</h3> <p>เมื่อคุณซื้อในตลาด คุณคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น</p> <img alt="ทำกำไรจากการซื้อขายฝั่งซื้อ/Long" src="/getmedia/6113bb97-caa6-43ce-90ca-68f89a6221f9/making-profit-in-long-position.webp" title="MACD指標是什麼?" width="100%" /> <p><br /> เมื่อราคาขึ้นเราก็ได้กำไร แต่เมื่อราคาลงเราก็ขาดทุน</p> <h3>2. ขาย (Short):</h3> <p>เมื่อคุณทำการขายแบบ Short ในตลาด คุณคาดหวังว่าราคาจะลดลง</p> <img alt="ทำกำไรจากการซื้อขายฝั่งขาย/Short" src="/getmedia/208efbdf-7564-429a-a00c-4c62242bdf33/making-profit-in-short-position.webp" /> <p><br /> เมื่อราคาลดลง เราก็จะสร้างกำไร แต่เมื่อราคาเพิ่มขึ้น เราก็จะขาดทุนตรงข้ามกันไป</p> <h2>ต้นทุนในการเทรด forex มีอะไรบ้าง?</h2> <p>ต้นทุนในการเข้าสู่การเทรดอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณกังวลเมื่อเข้าสู่ตลาดการเทรด เนื่องจากคุณอาจเคยได้ยินมาว่าการเทรดฟิวเจอร์สอาจมีค่าใช้จ่ายมากถึง $5,000 - $10,000<br /> <br /> ด้วยสัญญา CFD ข้อกำหนดเบื้องต้นในการเทรดนั้นจะน้อยกว่ามาก เนื่องจากคุณสามารถเทรดสัญญา CFD แบบไมโครล็อตด้วยเงิน $30 - $100 ได้ ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ที่มีทุนน้อยกว่าสามารถเข้าสู่การเทรดได้อย่างง่ายดาย<br /> &nbsp;</p> <h3>1. ข้อกำหนดด้านเงินทุน</h3> <p>เนื่องจากความผันผวนของราคาในตลาด forex นั้นต่ำ ดังนั้นขนาดการเทรดในตลาด forex จึงต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น<br /> <br /> เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่มีเงินทุนมากพอที่จะเทรดสัญญาที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นโบรกเกอร์ต่างๆ จึงเสนอ<strong>เลเวอเรจ</strong>เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเทรดในตลาด forex &nbsp;ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวคือต้องใส่เงินทุนจำนวนเล็กน้อยที่ถือเป็นกองทุนค้ำประกัน (Required Margin)</p> <h3>2. ต้นทุนจริงในการเทรด</h3> <p>มีค่าใช้จ่ายหลายประการที่คุณจำเป็นต้องทราบก่อนจะเริ่มเทรด:</p> <style type="text/css">.custom-list-container ul li{ display: flex; padding-bottom: 0px; flex-direction: column; } .custom-list-container ul li h4{ margin-top: -23px; } .custom-list-container p{ padding-left: 0em; margin-bottom: 2em; } .custom-list-container{ margin-top: 24px; } </style> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าสเปรดของสินทรัพย์</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">แสดงถึงความแตกต่างระหว่างราคา<strong>เสนอซื้อ</strong> (Bid) และราคา<strong>เสนอขาย</strong> (Ask) ของคู่สกุลเงิน โบรกเกอร์ทำเงินจากความแตกต่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายๆที่ ที่การเทรดที่ไม่มีค่าคอมมิชชัน<br /> <br /> <strong>ค่าสเปรดที่มากขึ้น</strong>จะเพิ่มต้นทุนในการเทรด โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีการเทรดบ่อยครั้ง ในทางกลับกัน <strong>ค่าสเปรดที่แคบลง</strong>จะช่วยลดต้นทุนการเทรดของเรา</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าคอมมิชชั่น</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เป็นต้นทุนโดยตรงต่อการเทรด ซึ่งเรียกเก็บโดยนายหน้าเพื่อดำเนินการเทรดในนามของเทรดเดอร์ โครงสร้างค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับนายหน้า ประเภทบัญชี และปริมาณการเทรด</p> <p style="padding-left:1.5em">โดยปกติแล้ว จะมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชันจากบัญชีที่มีสเปรด 0 และประเภทบัญชีที่มีสเปรดคงที่</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าธรรมเนียมสวอป</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">สำหรับเทรดเดอร์ที่วางแผนจะถือครองการเทรดข้ามคืน <a href="/th/trading-academy/terminologies/swaps/" target="_blank">ค่าธรรมเนียมสวอป</a>จะต้องถูกนำมาคิดรวมด้วย นี่คือต้นทุนการกู้ยืมของสกุลเงินแต่ละสกุลซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย</p> <h2>ควรที่จะเทรด forex ตอนไหน?</h2> <p>มีสามเซสชันการซื้อขายหลักที่จะมีสภาพคล่องสูงและมีกิจกรรมภายในตลาด ได้แก่ เซสชันยุโรป เซสชันอเมริกาเหนือ และเซสชันเอเชีย<br /> &nbsp;</p> <ul> <li>London Session: 3:00 PM &ndash; 11:00 PM</li> <li>New York Session: 8:00 PM &ndash; 5:00 AM</li> <li>Asian Session: 5:00 AM &ndash; 4:00 PM<br /> &nbsp;</li> </ul> <p>แต่โดยปกติแล้วการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดจะถึงจุดสูงสุดในช่วงเปิดเซสชั่น โดยในช่วงเปิดเซสชั่นนี้ ตลาดมักจะผันผวนมากที่สุด<br /> <br /> คุณจะเห็นได้ว่ากิจกรรมของแต่ละคู่อาจเฉพาะเจาะจงในแต่ละเวลา ตัวอย่างเช่น <a href="/th/gbp-usd/" target="_blank">GBP/USD</a> จะเคลื่อนไหวมากในช่วงเซสชั่นลอนดอนและนิวยอร์ก แต่จะสงบกว่าในช่วงเซสชั่นเอเชีย<br /> <br /> หากคุณเป็นเดย์เทรดเดอร์ (Day Trader) ข้อมูลนี้สามารถช่วยคุณเลือกเวลาและสินทรัพย์ที่เหมาะสมก่อนเทรดในช่วงเวลาต่างๆได้</p> <h2>จะเริ่มเทรด forex อย่างไร?</h2> <p>การที่จะซื่อขาย forex นั้นง่ายมากหากคุณปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:<br /> &nbsp;</p> <h3>1. เรียนรู้แนวคิดพื้นฐานของการซื้อขาย forex</h3> <p>ก่อนลงทุนด้วยเงินจริง คุณต้องเรียนรู้แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของ forex และศัพท์เทคนิคทั้งหมดที่ใช้ในสาขานี้<br /> <br /> การทำความเข้าใจแนวคิดสำคัญที่ครอบคลุมในหัวข้อก่อนหน้า เช่น คู่สกุลเงิน สเปรด พิป ล็อต เลเวอเรจ และมาร์จิ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการเทรด forex ทำงานอย่างไร</p> <h3>2. เลือกโบรกเกอร์ forex ที่เชื่อถือได้</h3> <p>โบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้นั้นเป็นสิ่งที่สําคัญในโลกของ forex&nbsp;ด้านล่างนี้คือปัจจัยบางประการที่คุณต้องพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม:</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ใบอนุญาต</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ใบอนุญาตควรเป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักในการเลือกโบรกเกอร์ เนื่องจากโบรกเกอร์ที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจใช้เงินที่ฝากของคุณไปในทางที่ผิด ในขณะที่โบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดซึ่งพวกเขาต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นพวกเขาจะสูญเสียใบอนุญาต</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>อินเทอร์เฟซผู้ใช้</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เทรดเดอร์จะควรมีอินเทอร์เฟซการเทรดที่ใช้งานง่าย บวกกับ เข้าถึงข้อมูลในตลาดได้ง่าย เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่จนถึงมืออาชีพสามารถมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์กราฟได้อย่างเต็มที่ แล้วยังสามารถรักษาไอเดียการเทรดที่ชัดเจนในขณะการเทรด แล้วที่ ThinkMarkets เรามีแพลตฟอร์ม ThinkTrader ที่ใช้ง่ายสะดวกรวดเร็ว พร้อมให้บริการกับลูกค่าทุกท่านที่เปิดบัญชีจริงหรือทดลอง</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ต้นทุนการเทรด</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ต้นทุนการเทรดคือค่าคอมมิชชันที่เทรดเดอร์จะต้องจ่ายไปกับการเทรด เงินที่คุณจ่ายไปอาจจะดูน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนมือใหม่จะต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณอาจจะอยู่ในจุดที่คุณได้กำไรหรือเท่าทุนแต่คอมมิชชันอาจจะทำให้นักลงทุนขาดทุนได้</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความปลอดภัย</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ความปลอดภัยของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด ดังนั้น เราต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ให้และส่งเสริมการใช้ Two-Factor Authentication, One-Time Password, การเข้าใจถึงความเสี่ยง หรือการให้ความรู้แก่ลูกค้า เพื่อปกป้องบัญชีของคุณจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างมาก</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>การบริการลูกค้า</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">การเผชิญกับปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ขณะทำการเทรดอาจทำให้หงุดหงิดได้ เพราะฉะนั้นทาง ThinkMarkets เลยให้บริการพร้อมสนับสนุนลูกค้าผ่านแชทตลอด 24 ชั่วโมง คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากโบรกเกอร์ได้ทันที</p> <h3>3. สร้างบัญชี &amp; ฝากเงิน</h3> <p>หากคุณเพิ่งเริ่มต้นเทรด คุณอาจลองเปิด<a href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual/demo?lang=th">บัญชีทดลอง</a>เพื่อฝึกฝน เมื่อคุณมั่นใจในกลยุทธ์ของตัวเองแล้ว คุณสามารถเริ่มเทรดในบัญชีจริงด้วยขนาดสัญญาที่เล็กกว่าและทุนที่น้อยกว่า<br /> <br /> หลังจากนั้น ให้ค่อยๆ เพิ่มทุนของคุณหลังจากที่คุณเริ่มต้นที่จะเห็นกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว กับติดตามผลการเทรดของคุณอย่างใกล้ชิด<br /> <br /> ที่ ThinkMarkets เรามีบัญชีประเภทต่างๆ ให้คุณเลือกตามความต้องการของคุณ เรามีบัญชี <strong>Standard</strong> พร้อม<strong>สเปรดต่ำ</strong> หรือ <strong>ThinkZero</strong> พร้อม<strong>สเปรดขั้นต่ำ 0 pip</strong> สำหรับสินทรัพย์ซื้อขายหลักๆ บัญชีประเภทต่างๆ จำเป็นต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำที่ต่างกันไป</p> <h3>4. พัฒนาแผนการเทรด</h3> <p>เมื่อทำการเทรด เราจำเป็นต้องพัฒนาแผนการเทรดที่เหมาะกับเรา เราสามารถใช้การผสมผสานวิธีการวิเคราะห์ทั้งสามวิธี ได้แก่ การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน รวมถึง การวิเคราะห์อารมณ์ตลาด<br /> <br /> หลังจากที่เราผ่านข้อมูลดังกล่าวแล้ว เราสามารถรวมข้อมูลที่เรารวบรวมมาเพื่อพัฒนาระบบการเทรดของเราเองที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของเรามากที่สุด</p> <h3>5. วางออร์เดอร์เทรดเพื่อเริ่มการเทรด</h3> <p>เมื่อคุณมีระบบการเทรดที่ทดสอบแล้วว่าทำกำไรได้ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มต้นการเทรด ในบทต่อไปนี้จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการวางคำสั่งการเทรดในตลาด forex</p> <h2>วิธีเข้าสู่ตลาด forex</h2> <p>ในการเริ่มต้นเข้าสู่สมรภูมิ forex &nbsp;เทรดเดอร์จะต้องเลือกแพลตฟอร์มการเทรดก่อน ที่ ThinkMarkets เราให้บริการแพลตฟอร์ม 3 แบบแก่ลูกค้า ได้แก่ MetaTrader 4, MetaTrader 5 อีกทั้ง แพลตฟอร์ม <a href="/th/thinktrader/" target="_blank">ThinkTrader</a>&nbsp;ของเราเอง<br /> &nbsp;</p> <h3>1. MetaTrader 4&amp;5</h3> <p>ก่อนอื่น มาดูกันว่าเราสามารถทำการเทรดบนแพลตฟอร์ม <a href="/th/metatrader4/" target="_blank">MetaTrader 4</a> &amp; 5 ได้อย่างไร แพลตฟอร์ม MetaTrader เป็นแพลตฟอร์มที่เทรดเดอร์ทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย<br /> <br /> การเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader คุณสามารถใช้ปุ่ม &ldquo;New Order&rdquo; เพื่อเปิดหน้าต่างคำสั่งซื้อ เทรดเดอร์สามารถเลือกเปิดการเทรดโดยใช้แพลตฟอร์มได้</p> <img alt="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader โดยใช้ปุ่มคำสั่ง New Order" src="/getmedia/9ee7b04a-06a8-4b42-8d21-dbe3ed9ba4cb/open-a-trade-on-metatrader-using-new-order-button.webp" title="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader โดยใช้ปุ่มคำสั่ง New Order" width="100%" /> <p><br /> หน้าต่างคำสั่งเทรดจะปรากฏขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายได้ เพื่อส่งคำสั่งเทรดตามราคาตลาดหรือคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการ</p> <img alt="หน้าต่างคำสั่งซื้อขายบน mt4 และ 5" src="/getmedia/dc0faca5-6cde-4c90-abb9-a797e7b2cd10/trading-window-on-mt4-and-mt5.webp" title="หน้าต่างคำสั่งซื้อขายบน mt4 และ 5" width="100%" /> <p><br /> นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่า stoploss และ take profit สำหรับการเทรดนั้นได้ก่อนที่จะวางคำสั่งเทรดของคุณ</p> <h3>2. ThinkTrader</h3> <p>ถ้าหากลูกค่าเปิดบัญชี ThinkTrader ที่เป็นแพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ของ ThinkMarkets หากต้องการเริ่มการเทรด เพียงคลิกที่ปุ่มซื้อหรือขายเพื่อเปิดหน้าต่างคำสั่งซื้อขาย</p> <img alt="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" src="/getmedia/91a6c3cb-11e9-404d-8477-3082a6c20e7e/open-trade-on-thinktrader.webp" title="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" width="100%" /> <p><br /> เมื่อหน้าต่างการเทรดปรากฏขึ้น เทรดเดอร์สามารถตั้งค่าการเทรดให้เป็นการซื้อหรือขาย ระบุคำสั่งซื้อขายตามตลาดหรือคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ ปรับขนาดล็อต(Lot Sizes)ตั้งค่า Take Profit และ Stop Loss และ ThinkTrader ยังแจ้งข้อมูลสำคัญทั้งหมดให้คุณทราบ เช่น ต้นทุน Pip การใช้มาร์จิ้นโดยประมาณ และมาร์จิ้นคงเหลือ<br /> &nbsp;</p> <img alt="หน้าต่างเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" src="/getmedia/9937ee72-88f9-4d77-ab39-cdd28c7abec0/trading-window-on-thinktrader.webp" title="หน้าต่างเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" width="100%" /> <p><br /> ต่อไปเราจะอธิบายประเภทคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการเทรด forex และการใช้งานในแต่ละสถานการณ์</p> <h2>ประเภทคำสั่งในการเทรด forex</h2> <p>สามารถใช้คำสั่งเทรดได้หลายประเภทสำหรับการเทรด คำสั่งเหล่านี้คือคำสั่งที่ราคาตลาดและคำสั่งรอดำเนินการ ประเภทคำสั่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้การวางแผนและการเทรด forex ง่ายขึ้น:</p> <h3>1. คำสั่งที่ราคาตลาด</h3> <p>คำสั่งที่ราคาตลาดคือคำสั่งเทรดที่ดำเนินการตามราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อเทรดเดอร์กดส่งคำสั่งซื่อขายทางโบรกเกอร์จะเริ่มต้นดำเนินการให้ทันที</p> <h3>2. คำสั่งรอดำเนินการ</h3> <p>คำสั่งรอดำเนินการซึ่งวางไว้เพื่อรอให้ราคาถอยกลับเพื่อไปถึงราคาที่ดีกว่าในการดำเนินการ</p> <h3>3. คำสั่ง Stop-Loss</h3> <p>คำสั่ง Stop-Loss คือคำสั่งรอดำเนินการอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะดำเนินการเมื่อการเทรดถึงราคาที่กำหนดเพื่อออกจากการเทรดที่ขาดทุนและป้องกันไม่ให้ขาดทุนเพิ่มเติม</p> <h3>4. คำสั่ง Take-Profit</h3> <p>คำสั่ง Take-Profit คือคำสั่งรอดำเนินการอีกประเภทหนึ่งซึ่งคำสั่งจะดำเนินการเมื่อการเทรดถึงกำไรเป้าหมายเพื่อออกจากการเทรดที่ชนะแล้วก็เปลี่ยนสินทรัพย์ลอยตัวเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจริง</p> <h2>การวิเคราะห์ในการเทรด forex</h2> <p>มี 3 วิธีในการวิเคราะห์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด ประเมินมูลค่าของทรัพย์สิน และ เก็งกำไรในตลาด</p> <h3>1. การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน</h3> <p>เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการที่ใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตลาด เช่น เศรษฐศาสตร์มหภาค รายได้ของบริษัท รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆอีกมากมาย เพื่อวัดแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด</p> <h3>2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค</h3> <p>การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการที่ใช้ข้อมูลจากกราฟราคาในอดีตเพื่อระบุแนวโน้มและเก็งกำไรราคาของตลาดในอนาคต ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆภายในตลาด หรือ จะเป็นเครื่องมืออย่างตัวอินดิเคเตอร์ที่เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่รวบรวมและคำนวณข้อมูลสำหรับเทรดเดอร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น</p> <h3>3. การวิเคราะห์เชิงอารมณ์ในตลาด</h3> <p>การวิเคราะห์เชิงอารมณ์หรือการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นโดยรวมภายในตลาดเพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามุมมองทั่วไปมองสินทรัพย์หรือตลาดอย่างไรในขณะนี้ ข้อมูลนี้สามารถรวบรวมได้จากแหล่งต่างๆ เช่น บทความข่าว เนื้อหาโซเชียลมีเดีย เป็นต้น</p> <h2>การเทรด forex มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?</h2> <p>เทรดเดอร์ทุกคนควรทราบข้อดีและข้อเสียก่อนเริ่มเทรด forex &nbsp;เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <h3>1. ข้อดีของการเทรด forex</h3> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">Forex เป็นตลาดระดับโลกที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม ตลาด forex คือตลาดที่พร้อมให้คุณสร้างผลตอบแทนผ่านการเทรด และ ลงทุนได้เสมอ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>สภาพคล่องสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากเงินที่อยู่ในตลาดนี้มีปริมาณการเทรดมากที่สุดในโลก จึงจะไม่มีปัญหาสภาพคล่องในกรณีที่ไม่สามารถออกจากการเทรดได้ เนื่องจากจะมีคนอื่นอยู่ฝั่งตรงข้ามของการซื้อขายเสมอ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>เลเวอเรจ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เป็นเครื่อมือที่โบรกเกอร์อย่าง ThinkMarkets ให้ลูกค้าใช้<strong>เลเวอเรจสูงถึง 1:500</strong> เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะไม่ถูกกีดกันจากการเทรดเนื่องจากเงินทุนของตน</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าธรรมเนียมต่ำ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากตลาด forex คือตลาดมีสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง โบรกเกอร์จึงพยายามมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเสมอ ส่งผลให้ต้นทุนและ<strong>ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่ำ</strong></p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>การซื้อขายแบบสองทาง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ไม่เหมือนตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมที่เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่เทรดเดอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของราคาไม่ว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงก็ได้ ดังนั้นจึงไม่มีช่วงตลาดขาลงที่เทรดเดอร์ไม่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทน</p> <p>&nbsp;</p> <h3>2. ข้อเสียของการเทรด forex</h3> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความผันผวนสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผู้เข้าร่วมมากมายตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงผู้ค้าสถาบัน ตลาดจึงมีอารมณ์ความรู้สึกมากมาย และอารมณ์เหล่านี้คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนอย่างมาก เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ต้องไม่มีอารมณ์ไปกับการเทรดเพื่อป้องกันไม่ให่มีอคติจากอารมณ์</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การใช้เลเวอเรจช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเทรดซึ่งเพิ่มผลกำไรในการเทรด แต่การใช้เลเวอเรจในทางที่ผิดและการใช้เลเวอเรจมากเกินไปอาจทำให้ผู้ค้าขาดทุนเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">อัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความแข็งแกร่งของสกุลเงิน และหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างกะทันหัน อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนที่ไม่คาดคิดภายในตลาด</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ปัจจัยพื้นฐาน</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เทรดเดอร์ที่ไม่ทราบรายงานเศรษฐกิจพื้นฐานของสกุลเงินแต่ละสกุลอาจมีความเสี่ยงต่อความผันผวนที่ไม่คาดคิด เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้อาจส่งผลให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาที่รายงาน และผู้ค้าที่ไม่รู้เรื่องอาจจะรับความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความซับซ้อนสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">การเป็นเทรดเดอร์ผลิตภัณฑ์การเทรดแบบมีการกู้ยืมทำให้เทรดเดอร์รายใหม่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนในระดับที่สูงกว่า แต่การอยู่ในตลาดโลกยังหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ อาจส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสินทรัพย์ที่คุณกำลังเทรด ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด</p> <h2>สรุป</h2> <p>การเทรด forex เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากความผันผวน ความซับซ้อนของเลเวอเรจและการวิเคราะห์ตลาดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น จึงจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ หากต้องการประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้การวิเคราะห์พื้นฐานและทางเทคนิค พัฒนากลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่ง และคอยอัปเดตเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์<br /> <br /> ด้วยเครื่องมือและคำแนะนำที่เหมาะสมจากโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น <a href="/th/">ThinkMarkets</a> คุณสามารถเข้าตลาด forex ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นและฝึกฝนเพื่อประสบความสำเร็จในเป้าหมายทางการเงินของคุณ</p>

17 min readผู้เริ่มต้น
เวลาเปิดปิดตลาด Forex: เทรดเดอร์ควรซื้อขาย Forex เวลาไหนบ้าง?

เวลาเปิดปิดตลาด Forex: เทรดเดอร์ควรซื้อขาย Forex เวลาไหนบ้าง?

<p>ตลาดฟอเร็กซ์มีคู่เงินต่างๆมากมายที่ซื้อขายกันในช่วงเวลาตลาด <a href="/th/trading-academy/forex/what-is-forex/" target="_blank">forex</a> ต่างๆ กัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์จะต้องเข้าใจว่าตลาด forex เปิดกี่โมงและช่วงเวลาที่แต่ล่ะคู่เงินในตลาด forex จะเคลื่อนไหวมากที่สุด เพื่อที่เทรดเดอร์จะได้ปรับสินทรัพย์ที่เทรดให้เหมาะกับเวลาในการเทรดของตัวเองได้<br /> <br /> ในบทความนี้ เราจะบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับเวลาเปิดปิดตลาด forex ซึ่งรวมถึงการเทรดฟอเร็กซ์คืออะไร คู่เงินที่ซื้อขายกันในแต่ละช่วงของวัน ช่วงเวลาทำการของตลาดที่ทับซ้อนกัน ช่วงใกล้ตลาดปิด (นอกเวลาทำการ) และอื่นๆ อีกมากมาย</p> <h2>ชั่วโมงการซื้อขายฟอเร็กซ์คืออะไร?</h2> <p><strong>ชัวโมงการซื้อขายฟอเร็กซ์</strong>คือชั่วโมงการเทรดที่ต่างกันของศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้ง 4 แห่ง แม้ว่าตลาดฟอเร็กซ์จะเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ และสามารถเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อขายได้ตลอดเวลา แต่มีช่วงเวลาการเทรดที่ดีกว่ามาก เพราะว่าการตามเวลาที่ตลาด forex เปิดปิดแต่ละประเทศจะทำให้ราคาผันผวน ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเหล่านี้ได้</p> <img alt="เขตเวลาตลาดที่แตกต่างกัน" src="/getmedia/037a21bd-18d5-4d31-941f-22d9c689d8a1/different-market-time-zones.webp" title="เขตเวลาตลาดที่แตกต่างกัน" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p>เซสชั่นการเทรดเหล่านี้แบ่งออกเป็น 4 เซสชั่นหลัก ได้แก่ เซสชั่นซิดนีย์ โตเกียว ลอนดอน และนิวยอร์ก ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป</p> <h2>ทำความเข้าใจเซสชั่นตลาดฟอเร็กซ์</h2> <p>ตลาดฟอเร็กซ์นั้นเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมสำหรับการซื้อขายและสามารถเปิดปิดออร์เดอร์ไดตลอด แต่คุณอาจสังเกตเห็นว่าราคามักจะเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ช่วงของแต่ล่ะวัน<br /> <br /> นี่เป็นเพราะว่าในแต่ละวันมีช่วงเวลาตลาดที่ศูนย์การเงินหลักของโลกทำการอยู่ไม่กี่ช่วง เมื่อถึงเวลาเปิดตลาดของประเทศโซนนั้นๆ ตลาดนั้นๆ ก็จะเคลื่อนไหวมากกว่าปรกติเนื่องจากเทรดเดอร์ นักลงทุน หลั่งไหลเข้ามา<br /> <br /> มีช่วงเวลาการเทรดที่สำคัญบางช่วงที่เทรดเดอร์ควรทราบ ซึ่งเราจะอธิบายให้เข้าใจตามรูปภาพด้านล่าง</p> <img alt="เวลาปิดและเปิดทำการของศูนย์การเงินแต่ละแห่ง" src="/getmedia/639b78d9-8498-4483-bcf9-3fe8b721fbcb/closing-and-opening-times-of-major-forex-market-sessions.webp" title="เวลาปิดและเปิดทำการของศูนย์การเงินแต่ละแห่ง" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>1. เซสชั่นซิดนีย์ (Sydney session)</h3> <p>เซสชั่นซิดนีย์หมายถึงช่วงเวลา 5 00 &ndash; 13 00 น. (เวลาไทย) ในเวลานี้ สกุลเงินที่จับคู่กับ AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย) และ NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์) ที่มีสภาพคล่องและผันผวนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นเซสชั่น<br /> <br /> รายงานเศรษฐกิจของ AUD และ NZD ที่แสดงอยู่ในปฏิทินเศรษฐกิจที่จะรายงานในช่วงเวลานี้เช่นกัน</p> <h3>2. เซสชั่นโตเกียว (Tokyo session)</h3> <p>เซสชั่นโตเกียวหมายถึงช่วงเวลา 6 00 &ndash; 16 00 น. (เวลาไทย) ในเซสชั่นนี้ คู่เงินที่จับคู่กับ JPY (เงินเยนญี่ปุ่น) จะมีสภาพคล่องสูงและผันผวนเนื่องจากการมีส่วนร่วมจากฝั่งญี่ปุ่น<br /> <br /> รายงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับ JPY ที่จะได้รับการรายงานในเวลานี้อีกด้วย</p> <h3>3. เซสชั่นลอนดอน (London session)</h3> <p>เซสชั่นลอนดอนคือช่วงเวลา 15 00 &ndash; 23 00 น. (เวลาไทย) ในเซสชั่นนี้ คู่เงินที่จับคู่กับ GBP (ปอนด์อังกฤษ) จะผันผวนและมีสภาพคล่องเป็นพิเศษ<br /> <br /> ข้อมูลเศรษฐกิจของ GBP ที่จะได้รับการรายงานในเวลานี้ นอกจากนี้ ในเซสชั่นนี้ จะมีรายการประจำวันที่เรียกว่า London Fix ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาโลหะ:<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>London fix</strong></li> </ul> <p>London Fix คือรายงานที่ราคาที่เหมาะสมของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน แพลตตินัม ฯลฯ จะได้รับการตกลงกันในรายงานนี้วันละสองครั้ง ราคาที่เหมาะสมจะตกลงกันจากความสนใจซื้อ/ขายของตลาด โดยการตัดสินใจนี้จะทำโดย LMBA (London Bullion Market Association)<br /> <br /> เนื่องจากมีการกำหนดราคาสองครั้งต่อวันตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โดยการกำหนดราคาครั้งแรกคือเวลาไทย 16 30 น. (เวลาลอนดอน 10 30 น.) และการกำหนดราคาครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในเวลาไทย 21 00 น. (เวลาลอนดอน 15 00 น.)</p> <h3>4. เซสชั่นนิวยอร์ก (New York session)</h3> <p>เซสชั่นนิวยอร์กหมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 19 00 &ndash; 3 00 น. (เวลาไทย) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีผลกระทบต่อตลาดมากที่สุด เนื่องจากในเวลาดังกล่าว USD จะเคลื่อนไหวมากที่สุด และเนื่องจาก USD ถูกจับคู่กับสกุลเงินอื่นๆ เซสชั่นนี้จึงทำให้สินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีสภาพคล่องและผันผวนสูง<br /> <br /> USD ยังเป็นสกุลเงินหลักของโลก และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามของ USD อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดโลกได้ในวงกว้าง</p> <h2>การทับซ้อนของเซสชั่นในตลาด Forex</h2> <p>ช่วงเวลาที่ตลาดสองเซสชันทับซ้อนกัน เช่น ลอนดอน-นิวยอร์ก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของตลาดมากขึ้น</p> <h3>1. ช่วงลอนดอน-นิวยอร์ก คาบเกี่ยวกัน (London-New York overlap)</h3> <p>ดังที่คุณเห็นในภาพประกอบด้านบน มีเวลาระหว่าง 19 00 &ndash; 23 00 น. ซึ่งทั้งตลาดลอนดอนและตลาดนิวยอร์กเปิดดำเนินการโดยทับซ้อนกัน<br /> <br /> เวลาที่ตลาดทับซ้อนกันนี้ เทรดเดอร์หลายรายถือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาการเทรดที่ดีที่สุดของวัน เนื่องจากราคาผันผวนมากและสภาพคล่องสูงสุดตลอดทั้งวัน เนื่องจากทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ซึ่งหมายความว่าจะมีผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมากจากทั่วโลก<br /> <br /> การที่ผู้ซื้อขายหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้คู่เงินที่ประกอบด้วย USD, EUR, GBP และ CHF เคลื่อนไหวในระดับที่เห็นได้ชัด ดังนั้นจึงมักพบเห็นการทะลุแนวรับ และ แนวต้านของราคาซึ่งส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นเทรนด์ในเวลาที่ตลาด ลอนดอน-นิวยอร์ก ทับซ้อนกัน</p> <img alt="ความผันผวนสูงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก" src="/getmedia/2f145548-b864-4eaf-9bc3-e941c44d8775/high-volatility-during-the-london-and-new-york-overlap.webp" title="ความผันผวนสูงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>2. ช่วงโตเกียว-ลอนดอน คาบเกี่ยวกัน (Tokyo-London overlap)</h3> <p>ระหว่างเวลา 15 00 &ndash; 16 00 น. คุณจะเห็นการคาบเกี่ยวของเซสชั่นโตเกียวและลอนดอน ภายในเซสชั่นนี้ เราจะสังเกตเห็นว่าคู่เงินที่ผันผวนอย่างต่อเนื่องคือ JPY, AUD, EUR, CHF และ GBP<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการคาบเกี่ยวของลอนดอน-นิวยอร์ก การคาบเกี่ยวของโตเกียว-ลอนดอนจะผันผวนต่ำกว่า และ ตลาดมักจะเคลื่อนที่อยู่ในกรอบ มากกว่า<br /> <br /> ตลาดที่ผันผวนต่ำกว่านี้มักส่งผลให้ตลาดเงียบสงบ และ มีสัญญาณรบกวนน้อยลง ดังนั้นผู้ซื้อขายจึงสามารถใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์เมื่อทำการเทรดภายในเซสชั่นนี้</p> <img alt="ตลาดที่ผันผวนลดลงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดโตเกียว-ลอนดอน" src="/getmedia/2b6172dc-f31d-4efd-a2a0-e2a69b8127c5/reduced-volatility-during-the-tokyo-london-overlap.webp" title="ตลาดที่ผันผวนลดลงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดโตเกียว-ลอนดอน" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h2>ข้อดีของการเทรดช่วงคาบเกี่ยว</h2> <p>เทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขายในเซสชั่นที่คาบเกี่ยวกันนั้นมีข้อดีอยู่บ้าง</p> <h3>1. สภาพคล่องสูง:</h3> <p>เนื่องจากกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาจากผู้ซื้อขายและสถาบันต่างๆ จึงไม่มีปัญหาในการจับคู่เมื่อเข้าและออกจาก Order การซื้อขาย</p> <h3>2. ความผันผวนสูง:</h3> <p>ตลาดที่ผันผวนอาจส่งผลให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงทำให้ผู้ซื้อขายสามารถทำกำไรได้ ดังนั้นในเซสชั่นเช่นช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่นลอนดอน-นิวยอร์ก ซึ่งผันผวนสูงมาก ทำให้ผู้ซื้อขายสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงในราคาเหล่านี้ได้</p> <h3>3. โอกาสในการซื้อขายตามข่าว:</h3> <p>ข่าวที่มีผลกระทบมากที่สุด เช่น การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตร <a href="/th/trading-academy/economic-data/non-farm-payroll/" target="_blank">(NFP)</a> ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ฯลฯ เกิดขึ้นช่วงเวลาที่ตลาด ลอนดอน-นิวยอร์ก คาบเกี่ยวกัน</p> <h3>4. การเคลื่อนไหวของราคาที่คาดเดาได้:</h3> <p>ช่วงเวลาที่เซสชั่นตลาดทับซ้อนกัน ตลาด forex จะมีแนวโน้มที่เป็นทิศทาง เนื่องจากราคามีโอกาศที่จะเปลี่ยนจาก Sideways เป็นแบบ Trending จากเงินทุนจำนวนมากที่ไหลเข้าและออกจากตลาด</p> <h2>ข้อเสียของการเทรดช่วงคาบเกี่ยว</h2> <p>นอกจากข้อดีแล้วก็ยังมีข้อเสียข้อที่เทรดเดอร์ควรทราบเมื่อทำการเทรดช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่นเหล่านี้</p> <h3>1. ความเสี่ยงที่สูงขึ้น:</h3> <p>อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าตลาดที่ผันผวนขึ้นสามารถช่วยให้ผู้ซื้อขายใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของตลาดได้ แต่ก็อาจจะเสี่ยงสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่มีประสบการณ์ได้เช่นกัน เนื่องจากราคาที่มีการซื้อขายช่วงนี้ผันผวนเร็วกว่าเวลาอื่นมาก</p> <h3>2. การเทรดมากเกินไป:</h3> <p>ตลาดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงของราคารวดเร็วมากขึ้น และเทรดเดอร์อาจเกิดความคิดที่จะเทรดด้วยขนาดที่ใหญ่มากเกินไป จากที่มีความโลภถึงผลกำไรที่อาจได้รับหากพวกเขาเปิดสัญญาซื้อขายที่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดและขาดทุนจำนวนมากในภายหลัง</p> <h3>3. จุดตัดขาดทุนที่กว้างขึ้น:</h3> <p>ในการซื้อขายในช่วงเวลาที่ราคาผันผวนในระดับที่กว้างขึ้น เทรดเดอร์จะต้องวางจุดตัดขาดทุนให้ห่างออกไปเพื่อให้มีความยืดหยุ่นตามที่ต้องการ แต่จุดตัดขาดทุนที่กว้างขึ้นเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียที่มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องปรับลดขนาดสัญญาลงตามการจัดการความเสี่ยงของตนเอง</p> <h3>4. สลิปเพจ:</h3> <p>ช่วงประกาศเหตุการณ์ข่าวทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างไม่แน่นอนและเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที สลิปเพจสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคำสั่งซื้อของคุณถูกดำเนินการในราคาที่แย่ลง ไม่ว่าจะเป็นการทำกำไรหรือการตัดการขาดทุน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากเทรดเดอร์ไม่ทราบปฏิทินเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงข่าวพวกนี้</p> <h2>เวลาที่ดีที่สุดในการเทรด forex คือเวลาไหน?</h2> <p>แม้ว่าหลายคนอาจจะมีความคิดว่าเวลาที่ดีที่สุดใน<a href="/th/trading-academy/forex/basics-of-forex-trading/" target="_blank">การเทรด forex</a> คือช่วงคาบเกี่ยวลอนดอน-นิวยอร์ก เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและตลาดวิ่งเป็นเทรนด์ แต่เวลา &quot;ที่ดีที่สุด&quot; ในการเทรด forex ต้องมาจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณมากที่สุด<br /> <br /> หากคุณเป็นนักเทรด forex ที่ทำกำไรแบบ scalping เซสชั่นที่ราคาตลาดอยู่ในกรอบอาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากกลยุทธ์ของคุณทำกำไรจากแนวโน้มที่ใหญ่กว่า เซสชั่นที่ราคาวิ่งเป็นเทรนด์อาจเหมาะกับกลยุทธ์นี้มากกว่า</p> <h2>เซสชั่นใดเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดของคุณมากที่สุด?</h2> <p>เนื่องจากเซสชั่นการเทรด forex แต่ละเซสชั่นมีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน เราจึงพยายามทำให้ลักษณะเฉพาะของแต่ละเซสชั่นนั้นเรียบง่ายขึ้น และพยายามค้นหาสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการซื้อขายในแต่ละเซสชั่น<br /> &nbsp;</p> <h3>1. เซสชั่นซิดนีย์ (Sydney session)</h3> <p>ลักษณะเฉพาะของเซสชั่นซิดนีย์คือปริมาณการซื้อขายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเซสชั่นอื่นๆ ส่งผลให้สภาพคล่องต่ำกว่าและตลาดเคลื่อนไหวน้อยลง<br /> <br /> แม้ว่าสิ่งนี้อาจส่งผลให้สเปรดกว้างขึ้น แต่เหมาะกับผู้ซื้อขายที่ต้องการหลีกเลี่ยงตลาดที่ผันผวนสูงและผู้ซื้อขายระยะยาวที่ไม่ต้องการราคาที่ผันผวนในระยะสั้นเพื่อขับเคลื่อนตลาดแต่จะมุ่งเน้นการทำกำไรจากแนวโน้มที่ใหญ่กว่า<br /> <br /> โฟกัสของเซสชั่นนี้คือคู่เงิน AUD และ NZD และสินทรัพย์คู่ เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้จะเคลื่อนไหวมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และ ข่าวทางเศรษฐกิจ AUD และ NZD ทั้งหมดจะได้รับการรายงานในช่วงเวลานี้ คู่เงินที่เกี่ยวข้อง จะเป็นคู่ AUDNZD, <a href="/th/aud-usd/" target="_blank">AUDUSD</a>, NZDUSD และ คู่ที่มี AUD &amp; NZD</p> <h3>2. เซสชั่นโตเกียว (Tokyo session)</h3> <p>เซสชั่นโตเกียวเป็นเซสชั่นที่สองที่เปิดตัวหลังจากเซสชั่นซิดนีย์ ซึ่งลักษณะเฉพาะที่ผันผวนน้อยกว่าเซสชั่นลอนดอนและนิวยอร์ก จึงเป็นที่รู้จักในเรื่องการเคลื่อนไหวของราคาที่เสถียรและคาดเดาได้มากกว่า<br /> <br /> ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ซื้อขายภายในกรอบมากกว่าเทรดเดอร์ที่เทรดกับเทรนด์<br /> <br /> คู่เงินที่ใช้งานในเซสชั่นนี้คือสกุลเงิน JPY และสินทรัพย์ที่จับคู่กัน เซสชั่นนี้ยังเป็นเวลาที่รายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับ JPY เช่น แถลงการณ์นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น รายงาน GDP ของ JPY เป็นต้น คู่เงินที่เกี่ยวข้อง จะเป็นคู่ <a href="/th/usd-jpy/" target="_blank">USDJPY</a>, GBPJPY, EURJPY และ คู่ที่มี JPY เกี่ยวข้องด้วย</p> <h3>3. เซสชั่นลอนดอน (London session)</h3> <p>เซสชั่นลอนดอนเป็นเซสชั่นที่สาม ซึ่งลักษณะเฉพาะจะขึ้นชื่อในเรื่องราคาที่ผันผวนสูงและมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูงสุด เซสชั่นนี้เซสชั่นเดียวมีปริมาณการซื้อขายรายวันประมาณ 35% ของทั้งตลาด<br /> <br /> เซสชั่นนี้เหมาะสมกับการซื้อขายที่ต้องการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ติดตามแนวโน้มราคามากกว่า<br /> <br /> สกุลเงินที่ใช้งานจริงในเซสชั่นนี้คือสกุลเงิน EUR, GBP และ CHF ข้อมูลพื้นฐานของสกุลเงินเหล่านี้ยังรายงานในช่วงเวลานี้ด้วย คู่เงินที่เกี่ยวข้อง ก็จะเป็นคู่ <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EURUSD</a>, GBPUSD, USDCHF, และพวกสกุลเงินยูโรโซน</p> <h3>4. เซสชั่นนิวยอร์ก (New York session)</h3> <p>เซสชั่นนิวยอร์กเป็นอีกเซสชั่นหนึ่งที่ ลักษณะเฉพาะ จะเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ได้ซื้อขายกันอย่างมากมายจากราคาที่มักวิ่งเป็นเทรนด์ เนื่องจากเซสชั่นนี้คิดเป็นประมาณ 17 &ndash; 20% ของปริมาณการซื้อขายรายวัน<br /> <br /> ในเซสชั่นนี้ ราคาจะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางแนวโน้มมากกว่า ดังนั้นเซสชั่นนี้จึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ทำกำไรจากราคาที่วิ่งเป็นแนวโน้ม<br /> <br /> สกุลเงินที่เคลื่อนไหวในเซสชั่นนี้คือ USD ซึ่งจับคู่กับสกุลเงินทั่วโลกส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่เทรดเดอร์หลายคนชอบเซสชั่นนิวยอร์ก นอกจากนี้ รายงานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังรายงานในเซสชั่นนี้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้ผลิต เป็นต้นสกุลเงินที่เกี่ยวข้อง ก็จะเป็นสกุลเงินที่จับคู่กับ USD เช่น EURUSD, <a href="/th/gbp-usd/" target="_blank">GBPUSD</a>, USDJPY, และอื่นๆอีกมากมาย</p> <h3>5. ช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่น</h3> <p>การซื้อขายช่วงคาบเกี่ยวระหว่างช่วงลอนดอนและโตเกียวเป็นการซื้อขายที่ค่อนข้างเงียบสงบซึ่งเหมาะกับกลยุทธ์การซื้อขายแบบอยู่ในกรอบราคาจำกัด แต่ช่วงการซื้อขายที่มีสภาพคล่องและผันผวนสูงสุดจะตกเป็นของช่วงคาบเกี่ยวระหว่างลอนดอนและนิวยอร์ก เนื่องจากการซื้อขายนี้ประกอบด้วยเซสชั่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดสองรายการรวมกัน<br /> <br /> ช่วงที่ลอนดอนและนิวยอร์กคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงเวลาที่ตลาดลอนดอนกำลังจะปิด และ ตลาดนิวยอร์กเพิ่งเปิด ส่งผลให้ตลาดการเงินทั้งสองแห่งของโลกมีการเคลื่อนไหวพร้อมกัน ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลเศรษฐกิจของดอลลาร์สหรัฐที่รายงานในขณะนี้ จะทำให้ตลาดมีแนวโน้มวิ่งเป็นเทรนด์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ซื้อขายจ้องจะทำกำไรจากราคาที่แกว่งตัวอย่างรุนแรง<br /> <br /> สินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวในเวลานี้คือสกุลเงินยูโรที่จับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ เช่น EURUSD, GBPUSD เป็นต้น นอกจากคู่สกุลเงินแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์และดัชนียังมีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยเฉพาะ<a href="/th/gold/" target="_blank">ทองคำ (XAUUSD)</a>, น้ำมันดิบ (WTI), SPX500, US30 และอื่นๆ</p> <h2>เทรดฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>ฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการหมายถึงช่วงเย็นวันศุกร์ (5 00 น. ของวันเสาร์ เวลาประเทศไทย) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาด forex กำลังจะปิดทำการในสุดสัปดาห์ และ ช่วงตลาด forex เปิดทำการในวันอาทิตย์ (5 00 น. ของวันจันทร์ เวลาประเทศไทย) แม้ว่าตลาด forex เปิดอยู่ตอน &ldquo;นอกเวลาทำการ&rdquo; แต่ตามเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เกิดการทำการซื้อขายเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยตามเวลาดังกล่าว<br /> <br /> การซื้อขายตอนนอกเวลาทำการดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงพอสมควร แต่ก็มีข้อดีในบางมุมมอง ซึ่งเราจะอธิบายให้ในด้านล่าง</p> <h2>ความเสี่ยงในการซื้อขายฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>การเทรด forex ในวันที่ตลาดกำลังจะเปิดและปิดอาจทำให้เทรดเดอร์ต้องเจอกับความเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งเราจะอธิบายเกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ด้านล่าง</p> <h3>1. สภาพคล่องลดลง</h3> <p>ช่วงนอกเวลาทำการ มีการทำธุรกรรมน้อยลง ดังนั้น สภาพคล่องภายในตลาดจึงลดลง</p> <h3>2.&nbsp;ความผันผวนลดลง</h3> <p>โดยทั่วไปแล้ว การเคลื่อนไหวของราคาจะช้าลง ดังนั้น โอกาสในการทำกำไรจากตลาดในฐานะผู้ซื้อขายจึงหายากขึ้น เนื่องจากราคาที่หยุดนิ่ง</p> <img alt="ความแตกต่างในปริมาณการเทรดที่ลดลงอย่างมากหลังจากตลาดนิวยอร์กปิดทำการและอยู่ในช่วงนอกเวลาทำการ" src="/getmedia/d471ba87-cfee-4844-9f68-cb5eda9a7ea9/significantly-reduced-trading-volume-difference-after-the-new-york-market-closes-and-during-after-hours.webp" title="ความแตกต่างในปริมาณการเทรดที่ลดลงอย่างมากหลังจากตลาดนิวยอร์กปิดทำการและอยู่ในช่วงนอกเวลาทำการ" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>3. ช่องว่างของตลาด (Gap)</h3> <p>เนื่องจากสภาพคล่องต่ำ ช่วงนอกเวลาทำการจึงอาจส่งผลให้เกิดช่องว่างในราคา ซึ่งราคาจะเว้นที่ว่างบนกราฟราคา แสดงให้เห็นว่าไม่มีคำสั่งซื้อขายช่องราคาดังกล่าว</p> <img alt="ช่องว่างของตลาดระหว่างแท่งเทียนสุดท้ายที่ปิดตลาดและแท่งเทียนเปิดตลาดแรกของสัปดาห์ใหม่" src="/getmedia/9bb226ef-1af8-4e3a-98ad-8ef9ba9a82c1/market-gap-between-the-last-candle-at-the-close-and-the-first-candle-at-the-opening-of-the-new-week.webp" title="ช่องว่างของตลาดระหว่างแท่งเทียนสุดท้ายที่ปิดตลาดและแท่งเทียนเปิดตลาดแรกของสัปดาห์ใหม่" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>4. สลิปเพจ</h3> <p>สลิปเพจเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนตัวผ่านจุดเข้าหรือจุดออก ซึ่งเกิดขึ้นในตลาดที่สภาพคล่องต่ำเช่นกัน โดยอาจเกิดขึ้นได้ตามเวลาการซื้อขายนอกเวลาทำการ</p> <img alt="สลิปเพจซึ่งเป็นผลมาจากช่องว่างเปิดตลาด" src="/getmedia/dd725fc0-9940-4bbc-b879-a7883edc44a9/slippage-resulting-from-the-opening-gap.webp" title="สลิปเพจซึ่งเป็นผลมาจากช่องว่างเปิดตลาด" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>5. ไม่ค่อยมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ</h3> <p>ช่วงนอกเวลาทำการ จะไม่ได้มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ดังนั้น จะไม่มีข้อมูลทางพื้นฐานที่จะผลักดันให้ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทาง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวในแนว Sideways แทนที่จะเป็นตลาดที่วิ่งเป็นแนวโน้ม</p> <h2>ข้อดีที่เป็นไปได้จากการเทรดฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>แต่การเทรดในวันที่ตลาดกำลังจะเปิดและปิดก็ไม่ได้แย่เสมอไป แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและระบบเทรดของเทรดเดอร์อีกด้วย</p> <h3>1. โอกาสในการจับความเคลื่อนไหวที่สำคัญ</h3> <p>แม้ว่าจะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจตอนช่วงนอกเวลาทำการ แต่ราคาก็อาจเคลื่อนไหวในปริมาณมากได้เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งอาจมาจากข่าวพื้นฐานที่สำคัญที่เกิดขึ้นช่วงข้ามคืน เช่น สถานะทางภูมิรัฐศาสตร์หรือข่าวสำคัญบางอย่างที่ส่งผลโดยตรงต่อสินทรัพย์</p> <h3>2. การแข่งขันที่น้อยลงจากผู้เล่นรายใหญ่</h3> <p>ช่วงเวลานี้มีคนเทรดน้อยลง ซึ่งรวมถึงผู้ซื้อขายตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากผู้คนเหล่านี้ทำการซื้อขายกันหมดแล้วในแต่ละวัน อาจมีราคาพุ่งสูงขึ้นหรือการหาจุดตัดขาดทุนน้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์ที่ต้องการตลาดที่ความผันผวนน้อยกว่า</p> <h3>3. ได้รับประโยชน์จากสวอปข้ามคืน</h3> <p>การถือ Order การซื้อขายของคุณนอกเวลาทำการจนถึงวันถัดไปยังทำให้คุณได้รับ<a href="/th/trading-academy/terminologies/swaps/" target="_blank">สวอป</a>ข้ามคืน ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายหรือได้รับจากการถือครองการซื้อขายของคุณ มีสินทรัพย์หลายประเภทที่สวอปข้ามคืนเป็นบวก ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถถือครองการซื้อขายของคุณข้ามคืนและรับเงินเป็นค่าธรรมเนียมสวอปซึ่งอาจเป็นแหล่งรายเสริมได้อีกทางหนึ่งสำหรับคุณ</p> <style type="text/css">.small-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 85%; } .medium-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 70%; } .large-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 60%; } </style> <img alt="ทองคำที่มีสวอปบวกจากการขายชอร์ตสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือข้ามคืน" id="gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders" src="/getmedia/9113c787-217d-46b0-918b-e181d9829f80/gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders.webp" title="ทองคำที่มีสวอปบวกจากการขายชอร์ตสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือข้ามคืน" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3>4. มีเวลาในการวิเคราะห์และวางแผนมากขึ้น</h3> <p>เนื่องจากตลาดเคลื่อนไหวช้ามากในช่วงนอกเวลาทำการ เทรดเดอร์จึงมีเวลามากขึ้นในการวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์การซื้อขาย ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายอย่างในช่วง ลอนดอน-นิวยอร์กทับซ้อนกัน ซึ่งคุณอาจจะเคยละสายตาจากกราฟไปไม่กี่นาทีและเห็นว่าราคาได้ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านไปแล้ว และคุณตกรถในการเข้าเทรด</p> <h3>5. ความผันผวน</h3> <p>ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าความผันผวนช่วงนอกเวลาทำการของตลาดนั้นต่ำกว่าช่วงเซสชั่นสำคัญ ขณะที่ความผันผวนที่ลดลงอาจเป็นข้อเสียสำหรับเทรดเดอร์บางคน แต่ตลาดที่เคลื่อนไหวช้าอาจดึงดูดเทรดเดอร์รายอื่นได้<br /> <br /> เทรดเดอร์แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกันและต้องรู้ว่าอะไรเหมาะกับพวกเขา และ ความผันผวนที่ต่ำอาจเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์แบบ Swing Trader และ Positional Trader ซึ่งพวกเขาอาจเปิดคำสั่งซื้อขายเพียงรายการเดียวและปล่อยให้ราคาดำเนินไปตามแนวโน้มระยะยาวเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี</p> <h2>แพลตฟอร์มการซื้อขายฟอเร็กซ์ของ ThinkMarkets เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน</h2> <p>ThinkMarkets ให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายต่างๆ แก่ลูกค้า ตั้งแต่ MetaTrader 4 และ 5 ไปจนถึงแพลตฟอร์ม <a href="/th/thinktrader/" target="_blank">ThinkTrader</a> ของเราเอง แพลตฟอร์มของเราเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เทียบเท่ากับมาตรฐานโบรกเกอร์ในปัจจุบัน<br /> <br /> นอกจากนี้ เรายังมอบสเปรดที่ต่ำให้กับคุณสำหรับสินทรัพย์ทั้งหมดตั้งแต่คู่สกุลเงินหลัก เช่น EURUSD ด้วยสเปรดต่ำถึง 0 pip นอกจากนี้ เรายังพร้อมให้บริการสนับสนุนสดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อช่วยเหลือคุณเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเทรดอยู่ในเซสชันใดก็ตาม</p> <h2>บทสรุป</h2> <p>ถึงตลาดฟอเร็กซ์ที่ทำการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แต่ก็จะมีแต่ล่ะช่วงของวันที่ราคาในตลาดจะวิ่งแบบเข้าหน้าเทรดของเทรดเดอร์มากกว่า หน้าเทรดที่เหมาะกับตลาดที่เป็นเทรนด์ก็จะใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงอย่างเช่นช่วงคาบเกี่ยว ลอนดอน-นิวยอร์ก แต่ระบบที่ใช้ได้ดีในการเทรดสั้นก็จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าในช่วงเซสชั่น ซิดนีย์ โตเกียว และ ช่วงคาบเกี่ยวของ โตเกียว-ลอนดอน เพราะฉะนั้นเวลาที่ดีที่สุดในการเทรดขึ้นอยู่กับหน้าเทรดของคุณ<br /> &nbsp;</p>

18 min readผู้เริ่มต้น
คู่สกุลเงินคืออะไร? 7 คู่สกุลเงินหลักยอดนิยมในการเทรด Forex 

คู่สกุลเงินคืออะไร? 7 คู่สกุลเงินหลักยอดนิยมในการเทรด Forex 

<img onload=" const static_content_loader = document.createElement('script'); static_content_loader.src = '/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Scripts/static-content-loader-us30-latest.js' document.head.appendChild(static_content_loader); " src="data:image/gif;base64,R0lGODlhAQABAAAAACH5BAEKAAEALAAAAAABAAEAAAICTAEAOw==" style="display: none;" /> <style type="text/css">@keyframes panel-float-up { 0% { bottom: -20vw; } 100% { bottom: 0vw; } } @keyframes panel-float-down { 0% { bottom: 0vw; } 100% { bottom: -20vw; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__content, .article__container { margin-left: 6% !important; text-align: start !important; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__categories { justify-content: start; } } @media (min-width: 600px) { .caption-bold.color-dark-60 { position: absolute; bottom: -23px; left: 21.5%; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__content>img { width: 584px; height: 389px; } } @media (min-width: 600px) { .g-container { overflow: visible; } } .articleBanner__image { height: auto; width: 100%; aspect-ratio: 584/389; } #sticky-article-panel { display: flex; align-items: center; background-color: #F2F6F6; overflow: hidden; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel { border-radius: 15px; position: absolute; top: -670px; right: 50px; width: 220px; height: 350px; padding-top: 50px; flex-direction: column; box-sizing: border-box; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar-track { border-radius: 20px; background-color: transparent; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar { width: 5px; background-color: transparent; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar-thumb { border-radius: 10px; background-color: rgba(143, 143, 143, 0.3098039216); } } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel { position: fixed; bottom: 0%; left: 50%; translate: -50% 0%; width: 100%; box-sizing: border-box; padding: 10px 20px; box-shadow: 0px 3px 13px 0px rgba(143, 143, 143, 0.368627451); justify-content: space-between; display: none; background-color: #252525; z-index: 100; } #sticky-article-panel.show { display: flex; animation: panel-float-up 0.8s ease; } #sticky-article-panel.hide { animation: panel-float-down 0.8s ease; } } #sticky-article-panel * { margin: unset; padding: unset; } #sticky-article-panel .sticky-panel-title, #sticky-article-panel .sticky-panel-subtitle, #sticky-article-panel .sticky-panel-button { font-family: "Noto Sans TC"; font-style: normal; color: #0E1D31; } #sticky-article-panel>.sticky-panel-subtitle { font-weight: 500; font-size: 16px; line-height: 23px; margin-top: 54px; } #sticky-article-panel div.desktop-element { display: flex; flex-direction: column; align-items: center; position: relative; z-index: 2; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel div.desktop-element { display: none; } } #sticky-article-panel div.desktop-element>div { margin-top: 20px; padding: 3px 14px; margin-bottom: 40px; border: 1px solid #0E1D31; border-radius: 21px; } #sticky-article-panel div.desktop-element>div .sticky-panel-subtitle { font-weight: 500; font-size: 14px; line-height: 19.6px; } #sticky-article-panel div.mobile-element { display: flex; flex-direction: column; position: relative; z-index: 2; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel div.mobile-element { display: none; } } #sticky-article-panel div.mobile-element p { text-align: left; margin-top: 2px; } #sticky-article-panel .sticky-panel-title { font-weight: 700; font-size: 30px; line-height: 42px; text-align: center; margin-top: 20px; max-width: 152px; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-title { font-size: 18px; line-height: normal; max-width: unset; color: white; font-weight: 500; } } #sticky-article-panel .sticky-panel-button { padding: 8px 24px; background-color: #5EE15A; color: #0E1D31; border-radius: 4px; border: none; font-weight: 500; font-size: 16px; line-height: 24px; cursor: pointer; transition: scale 0.15s ease; text-decoration: none !important; position: relative; z-index: 2; } #sticky-article-panel .sticky-panel-button.mobile-element { font-size: 14px; padding: 8px 46px; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-button.mobile-element { display: none; } } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-button.desktop-element { display: none; } } #sticky-article-panel .sticky-panel-button:hover { scale: 1.05; } #sticky-article-panel #sticky-panel-background-decoration { position: absolute; width: 491px; height: auto; z-index: 0; bottom: -230px; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel #sticky-panel-background-decoration { width: 488px; bottom: -308px; right: -183px; } } #registration-with-thinkmarkets-container { background-image: url(/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Article%20Image%20Knowledge%20Hub%20TW/5-minutes-registration-with-thinkmarkets.webp); width: 100%; background-size: cover; background-repeat: no-repeat; display: flex; overflow: unset; height: 354px; } @media (max-width: 599px) { #registration-with-thinkmarkets-container { height: 212px; } } .scroll-to-top { bottom: 165px !important; } #social-channels { bottom: 108px !important; } /*# sourceMappingURL=custom3.css.map */ </style> <section id="sticky-article-panel"> <div class="desktop-element"> <p class="sticky-panel-title">เทรดกว่า 4,000 สินทรัพย์</p> <div> <p class="sticky-panel-subtitle">Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์</p> </div> </div> <div class="mobile-element"> <p class="sticky-panel-title">เทรดกว่า 4,000 สินทรัพย์</p> </div> <a class="sticky-panel-button desktop-element" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual?lang=th">ลงทะเบียน </a> <a class="sticky-panel-button mobile-element" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual?lang=th">ลงทะเบียน </a> <svg fill="none" id="sticky-panel-background-decoration" viewbox="0 0 459 406" width="322" xmlns="http://www.w3.org/2000/svg"> <path d="M59.0344 136.685L54.2226 134.902L67.6504 326.627L376.343 312.625L365.005 0.999813L362.436 6.0249C359.866 11.05 354.726 21.1001 347.106 23.6187C339.486 26.1373 329.385 21.1243 322.11 24.6915C314.836 28.2587 310.387 40.406 304.809 49.1277C299.232 57.8494 292.527 63.1453 285.038 66.0626C277.549 68.9799 269.277 69.5186 260.435 68.3283C251.594 67.138 242.183 64.2188 234.706 67.1731C227.23 70.1274 221.688 78.9551 213.33 79.2355C204.973 79.5159 193.801 71.2489 186.316 74.1772C178.831 77.1055 175.032 91.2291 169.704 100.706C164.376 110.183 157.517 115.014 147.811 111.199C138.105 107.384 125.552 94.9233 116.981 94.5552C108.41 94.1871 103.822 105.911 98.8378 116.434C93.8536 126.957 88.4736 136.277 80.9718 139.155C73.4699 142.033 63.8463 138.467 59.0344 136.685Z" fill="url(#paint0_linear_172_8)"></path> <path d="M54.2226 134.902L59.0345 136.684C63.8463 138.467 73.47 142.033 80.9718 139.155C88.4737 136.277 93.8537 126.956 98.8379 116.434C103.822 105.911 108.411 94.1869 116.981 94.555C125.552 94.9232 138.105 107.384 147.811 111.199C157.517 115.014 164.376 110.183 169.704 100.706C175.033 91.2289 178.831 77.1053 186.316 74.177C193.801 71.2487 204.973 79.5157 213.33 79.2353C221.688 78.9549 227.23 70.1272 234.707 67.1729C242.183 64.2186 251.594 67.1378 260.436 68.3281C269.277 69.5184 277.549 68.9797 285.038 66.0624C292.527 63.1451 299.232 57.8492 304.809 49.1275C310.387 40.4058 314.836 28.2585 322.111 24.6913C329.385 21.1241 339.486 26.1371 347.106 23.6185C354.726 21.0999 359.866 11.0497 362.436 6.02468L365.006 0.9996" stroke="#5EE15A" stroke-linecap="round"></path> <defs> <lineargradient gradientunits="userSpaceOnUse" id="paint0_linear_172_8" x1="180.5" x2="251.5" y1="-19.5002" y2="208.5"> <stop stop-color="#5EE15A" stop-opacity="0.5"></stop> <stop offset="1" stop-color="#5EE15A" stop-opacity="0"></stop> </lineargradient> </defs> </svg></section> <h2>คู่สกุลเงินคืออะไร?&nbsp;</h2> <p>คู่สกุลเงิน (Currency Pair) หมายถึง การจับคู่ระหว่างสองสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (Forex) สกุลเงินจะต้องถูกจับคู่กันเสมอจึงจะแสดงค่าของสกุลเงินนั้นๆได้ เช่น เวลาเราต้องการทราบค่าเงินบาท ก็จะดูคู่เงิน เช่น USD/THB = 34.12 นั่นหมายถึง 1 ดอลลาร์ มีค่าเท่ากับ 34.12 บาท (ค่าเงินบาท ณ เวลาที่เขียนบทความนี้)&nbsp;</p> <img alt="ตัวอย่างแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เงิน 1 ดอลลาร์และเป็นเงิน 34.12บาท" src="/getmedia/ec95c514-6c02-4144-ba7f-3def88576e0a/example-foreign-currency-exchange-1-dollar-to-thai-baht.png" title="ตัวอย่างแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เงิน 1 ดอลลาร์และเป็นเงิน 34.12บาท" /> <h3>ทำไมสกุลเงินต้องเทรดเป็นคู่?&nbsp;</h3> <p>เนื่องจากการซื้อขายในตลาด Forex เป็นการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงิน คล้ายกับการแลกเงินในการไปเที่ยวต่างประเทศ พอกลับมาแลกคืนแล้วค่าเงินเกิดแข็งค่า อัตราแลกเปลี่ยนก็สูงขึ้น เราก็จะได้กำไร ดังนั้นการที่สกุลเงินต้องเทรดเป็นคู่ทำให้ผู้เทรดสามารถซื้อสกุลเงินหนึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นการขายอีกสกุลเงินหนึ่ง ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดว่าในอนาคตเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ คุณก็อาจเลือก <strong>ซื้อ (Buy, Long)</strong> EUR/USD เพื่อเก็งกำไร&nbsp;&nbsp;</p> <h2>คู่สกุลเงินทำงานอย่างไร?&nbsp;</h2> <p>คู่สกุลเงินประกอบด้วยส่วนหลัก 2 ส่วน:&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>Base Currency</strong> (สกุลเงินหลัก): เป็นสกุลเงินแรกของคู่ ตัวอย่างเช่น ในคู่ EUR/USD, EUR(ตัวหน้า) คือสกุลเงินหลัก&nbsp;&nbsp;</li> <li><strong>Quote Currency</strong> (สกุลเงินอ้างอิง): เป็นสกุลเงินที่สองของคู่ ในกรณี EUR/USD, USD(ตัวหลัง) คือสกุลเงินอ้างอิง&nbsp;</li> </ul> &nbsp; <p>เมื่อไหร่ก็ตามที่สกุลเงินหลักมีการแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง ราคาของคู่เงินก็จะสูงขึ้น&nbsp;</p> <img alt="หลักการซื้อขายคู่เงิน EURUSD เมื่อยูโรแข็งค่า" src="/getmedia/2c233d34-6314-4989-9f4e-bd907c8e644c/trading-principle-of-eurusd-when-euro-appreciates.png" title="หลักการซื้อขายคู่เงิน EURUSD เมื่อยูโรแข็งค่า" /> <p>ในทางกลับกัน หากสกุลเงินอ้างอิงมีการแข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลเงินหลัก ราคาของคู่เงินก็จะต่ำลง&nbsp;</p> <img alt="หลักการซื้อขายคู่เงิน EURUSD เมื่อยูโรอ่อนค่า" src="/getmedia/cd249672-420e-46b5-bd6c-8502e50ed82e/trading-principle-of-eurusd-when-euro-depreciates.png" title="หลักการซื้อขายคู่เงิน EURUSD เมื่อยูโรอ่อนค่า" /> <h3>คู่สกุลเงินมีผลอย่างไรกับการเทรด&nbsp;</h3> <p>จะสังเกตุได้ว่าในการเทรดคู่เงิน คุณจะไม่พบเลยว่ามีคู่เงินที่เป็นคู่ซ้ำกัน เช่น มีEUR/USD ให้คุณเก็งกำไรเงินEURเทียบกับUSD แต่ไม่มีคู่เงิน USD/EUR เลย แล้วเราจะทำการเก็งกำไร USDเทียบกับเงินEUR ได้อย่างไร?&nbsp;<br /> <br /> เนื่องจาก<a href="/th/trading-academy/forex/basics-of-forex-trading/" target="_blank">การเทรด Forex</a> คือการเทรดเป็นคู่เงิน ดังนั้นจึงทำกำไรได้ทั้ง ขาขึ้น (Buy,Long) เพื่อเก็งกำไรสกุลเงินหลัก (ตัวหน้า) และขาลง (Sell, Short) เพื่อเก็งกำไรสกุลเงินอ้างอิง(ตัวหลัง)&nbsp;<br /> <br /> ตัวอย่างเช่น: หาก EUR/USD = 1.1200 หมายความว่า 1 ยูโรมีค่าเท่ากับ 1.12 ดอลลาร์สหรัฐ<br /> <br /> 1. คุณต้องการ<strong>ซื้อ (Buy, Long)</strong> EUR/USD นั่นหมายความว่า คุณเลือกเก็งกำไรและมองว่าเงิน EUR จะแข็งค่าเมื่อเทียบกับ USD ที่เป็นสกุลเงินอ้างอิง ที่อัตราส่วน 1 ยูโร:1.12 ดอลลาร์ หากเงินยูโรแข็งค่า เป็น EUR/USD = 1.14000 (1ยูโร: 1.4 ดอลลาร์) คุณก็จะกำไร <img alt="การเทรด Forex ที่เมื่อEURแข็งค่าในกรณีที่ซื้อก็จะได้กำไร" src="/getmedia/6996139f-970e-4218-b307-cbd1757c2c68/forex-trading-when-euro-appreciates-buy-profit.png" title="การเทรด Forex ที่เมื่อEURแข็งค่าในกรณีที่ซื้อก็จะได้กำไร" /></p> <p>2. ในทางกลับกัน หากคุณเลือก <strong>ขาย (Sell, Short) </strong>หมายความว่าคุณซื้อเงิน USD และกำลังขายเงิน EUR ที่อัตราส่วน 1 ยูโร:1.12 ดอลลาร์ หากเงินดอลลาร์แข็งค่า เป็น EUR/USD = 1.1000 (1ยูโร: 1.10 ดอลลาร์) คุณก็จะกำไร&nbsp; <img alt="การเทรด Forex ที่เมื่อEURอ่อนค่าในกรณีที่ขายก็จะได้กำไร" src="/getmedia/5d538acc-7209-476f-834b-c9d3dfebc4e4/forex-trading-when-euro-depreciates-sell-profit.png" title="การเทรด Forex ที่เมื่อEURอ่อนค่าในกรณีที่ขายก็จะได้กำไร" /></p> <h2>ประเภทของคู่เงิน&nbsp;</h2> <p>เราอาจเห็นสกุลเงินหลัก (Major Currency) อยู่บ่อยๆ เช่น สกุลเงิน ดอลลาร์ (USD) สกุลเงินยูโร (EUR) หรือสกุลเงินปอนด์ (GBP) และอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วเป็นสกุลเงินสากลที่ได้รับการยอมรับและมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในตลาดการเงินโลก ประเทศที่ใช้สกุลเงินเหล่านี้มักเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคงและได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนทั่วโลก&nbsp;<br /> <br /> ซึ่งการที่ตลาด Forex ให้ความสำคัญกับสกุลเงินหลัก ก็เนื่องมาจากสภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายที่สูง จึงทำให้เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั้งมือใหม่และมืออาชีพในตลาด Forex&nbsp;&nbsp;<br /> <br /> คู่เงินสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs), คู่เงินรอง (Minor Currency Pairs), และ คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Currency Pairs) โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน<br /> &nbsp;</p> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="width:100%;"> <thead> <tr class="header-row"> <th style="width:20%">ประเภทคู่เงิน</th> <th style="width:60%">นิยาม</th> <th style="width:20%">ตัวอย่าง</th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td>คู่เงินหลัก</td> <td>คู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์ โดยทุกคู่จะมีดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ด้วย มีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ</td> <td>EUR/USD, USD/CHF GBP/USD, USD/JPY</td> </tr> <tr> <td>คู่เงินรอง</td> <td>คู่เงินที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐ (USD) แต่เป็นการจับคู่ระหว่างสกุลเงินหลักอื่น ๆ สภาพคล่องรองจากคู่เงินหลัก</td> <td>EUR/GBP, AUD/JPY, GBP/CHF</td> </tr> <tr> <td>คู่เงินแปลกใหม่</td> <td>คู่เงินที่จับคู่ระหว่างสกุลเงินหลักและสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ มีความผันผวนสูงและสเปรดกว้างกว่า</td> <td>USD/THB, EUR/TRY, GBP/ZAR</td> </tr> </tbody> </table> <h2>คู่สกุลเงินหลักยอดนิยมในการเทรด Forex</h2> <h3>1. EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ)</h3> <p><a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EUR/USD</a> เป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์ เนื่องจากจุดเด่นคือสเปรดต่ำและสภาพคล่องสูง และมูลค่าของคู่เงินนี้ได้รับอิทธิพลจากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น GDP, อัตราการว่างงาน และนโยบายการเงินจาก ECB และ Fed ด้วยความนิยมและปริมาณการซื้อขายที่สูง EUR/USD จึงมักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลก&nbsp;</p> <h3>2. USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น)</h3> <p><a href="/th/usd-jpy/" target="_blank">USD/JPY</a> เป็นคู่เงินที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีจุดเด่นที่ความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับคู่เงินอื่น ๆ และได้รับอิทธิพลจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งมักใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คู่เงินนี้มีความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นในเอเชียและมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้&nbsp;</p> <h3>3. GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์สหรัฐ)</h3> <p><a href="/th/gbp-usd/" target="_blank">GBP/USD</a> มีลักษณะเด่นที่ความผันผวนสูง เนื่องจากเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองบ่อยครั้ง&nbsp; มูลค่าของคู่เงินนี้ถูกกำหนดโดยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงานและ GDP ของอังกฤษ ทำให้คู่เงินนี้เหมาะสำหรับนักเทรดที่มองหาโอกาสเทรดจากความผันผวนในตลาด&nbsp;</p> <h3>4. USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส)</h3> <p><a href="/th/usd-chf/" target="_blank">USD/CHF</a> เป็นคู่เงินที่มักถูกใช้ในช่วงที่ตลาดการเงินไม่แน่นอน เพราะฟรังก์สวิสถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจสูง ซึ่งช่วยสนับสนุนความน่าเชื่อถือของฟรังก์สวิส ทำให้คู่เงินนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด&nbsp;</p> <h3>5. AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ)</h3> <p><a href="/th/aud-usd/" target="_blank">AUD/USD</a> สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจออสเตรเลียและสหรัฐฯ โดยได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำและแร่เหล็ก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของออสเตรเลีย ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของคู่เงินนี้&nbsp;</p> <h3>6. USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์แคนาดา)</h3> <p><a href="/th/usd-cad/" target="_blank">USD/CAD</a> มีความเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันดิบอย่างใกล้ชิด เนื่องจากแคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันจึงส่งผลโดยตรงต่อค่าของ CAD นักลงทุนมักใช้คู่เงินนี้ในการเก็งกำไรจากแนวโน้มราคาน้ำมัน&nbsp;</p> <h3>7. NZD/USD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์/ดอลลาร์สหรัฐ)</h3> <p><a href="/th/nzd-usd/" target="_blank">NZD/USD</a> เป็นคู่เงินที่สะท้อนเศรษฐกิจนิวซีแลนด์ โดยได้รับอิทธิพลจากภาคการเกษตรและการส่งออก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเป็นสินค้าหลักของประเทศ นอกจากนี้ ค่าเงินนี้ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ AUD/USD และได้รับผลกระทบจากนโยบายของธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ)</p> <h2>ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของคู่เงิน</h2> <p>ราคาของคู่เงินในตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และตลาดการเงิน ด้างล่างคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาคู่เงิน:&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)</strong>&nbsp; <p>ธนาคารกลางแต่ละประเทศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อสกุลเงิน หากประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยสูง ก็จะดึงดูดนักลงทุนและมักทำให้สกุลเงินแข็งค่า ดังนั้นจึงควรติดตามข่าวจากธนาคารแต่ละประเทศ&nbsp;</p> </li> </ul> &nbsp; <ul> <li><strong>นโยบายการเงิน (Monetary Policy)</strong>&nbsp; <p>การตัดสินใจของธนาคารกลาง เช่น การปรับลดหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และมาตรการอื่นๆ&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>ดัชนีเศรษฐกิจ (Economic Indicators)</strong>&nbsp; <p>ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เช่น GDP, <a href="/th/trading-academy/economic-data/non-farm-payroll/" target="_blank">NFP</a>, อัตราการจ้างงาน, อัตราเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Prices)</strong>&nbsp; <p>ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ มีผลกระทบโดยตรงต่อสกุลเงินของประเทศที่เป็นผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น CAD (แคนาดา) และ AUD (ออสเตรเลีย)&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>สถานการณ์ทางการเมือง (Political Events)</strong>&nbsp; <p>ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งหรือวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงิน&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity)</strong>&nbsp; <p>ในช่วงเวลาที่ตลาดมีการซื้อขายหนาแน่น เช่น ช่วงตลาดยุโรปและสหรัฐเปิดพร้อมกัน ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>ความเชื่อมั่นของนักลงทุน (Market Sentiment)</strong>&nbsp; <p>ความเชื่อมั่นและความกลัวของนักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของคู่เงิน เช่น การเปลี่ยนสินทรัพย์เสี่ยงไปเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤต&nbsp;&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>เหตุการณ์ฉุกเฉิน (Unexpected Events)</strong>&nbsp; <p>เช่น ภัยธรรมชาติ การแพร่ระบาดของโรค หรือสงคราม อาจทำให้สกุลเงินผันผวนอย่างรุนแรง&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li><strong>ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน (Correlation)</strong>&nbsp; <p>บางคู่เงินมีความสัมพันธ์เชิงบวกหรือลบ เช่น EUR/USD และ USD/CHF มักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม&nbsp;&nbsp;</p> </li> </ul> <h2>ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน (Correlation)&nbsp;</h2> <p>ความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน (Currency Correlation) ในการเทรด Forex คือการที่คู่เงินสองคู่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน หรือตรงกันข้ามกัน&nbsp;<br /> <br /> เนื่องจากในการเทรดตลาด Forex นั่นจะเทรดเป็นคู่สกุลเงินตามที่อธิบายข้างต้น ดังนั้นในเวลาที่คู่เงินสองคู่ที่มีสกุลเงินเดียวกันเช่น EUR/USD และ USD/CHF มีการเคลื่อนไหวพร้อมกัน ก็จะมีความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อกัน&nbsp;&nbsp;<br /> <br /> บางคู่เงินมีความสัมพันธ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ซึ่งนี่อาจช่วยให้นักเทรดคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้&nbsp;&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li>ความสัมพันธ์เชิงลบ (Negative Correlation): มักจะเกิดเมื่อ สกุลเงินหลัก (Base price) และสกุลเงินรอง(Quote price) ตรงข้ามกัน เช่น:&nbsp; &nbsp;<br /> &nbsp; <p>หาก EUR/<strong>USD </strong>เพิ่มขึ้น <strong>USD</strong>/CHF มักจะลดลง&nbsp;</p> <p>หาก <strong>USD</strong>/CHF เพิ่มขึ้น EUR/<strong>USD</strong> มักจะลดลง&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <ul> <li>ความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive Correlation): มักจะเกิดเมื่อ สกุลเงินหลัก (Base price) หรือ สกุลเงินรอง(Quote price) ตรงกัน เช่น:&nbsp; &nbsp;<br /> &nbsp; <p>EUR/<strong>USD</strong> และ GBP/<strong>USD</strong> (USDเป็นสกุลเงินรองทั้งคู่)&nbsp;</p> <p>ดังนั้นจึงมักเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน&nbsp;<br /> &nbsp;</p> </li> </ul> <p>ดังนั้นคุณจึงควรเลือกเทรดอย่างระมัดระวังเพื่อกระจายความเสี่ยงและเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์ม <a href="/th/thinktrader/" target="_blank">ThinkTrader</a> จาก <a href="/th/" target="_blank">ThinkMarkets</a> เนื่องจากสามารถเพิ่มข้อมูลของคู่เงินอื่นเข้าไปที่หน้ากราฟได้แบบ Real-time และไม่จำกัด จึงทำให้คุณเห็นสภาพตลาดได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น&nbsp;</p> <img onload=" const article_image_enlarge_script = document.createElement('script'); article_image_enlarge_script.src = '/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Scripts/article-image-enlarge.js' document.head.appendChild(article_image_enlarge_script); " src="data:image/gif;base64,R0lGODlhAQABAAAAACH5BAEKAAEALAAAAAABAAEAAAICTAEAOw==" style="display: none;" /> <img alt="กราฟจาก ThinkTrader ที่สามารถแสดงผลข้อมูลราคาของคู่เงินอื่นได้พร้อมๆกัน" class="article-expandable-image" src="/getmedia/4882bfa4-5bb9-4e1b-87cd-899cb2612978/graph-from-thinktrader-show-multiple-currency-pairs-prices.png" title="กราฟจาก ThinkTrader ที่สามารถแสดงผลข้อมูลราคาของคู่เงินอื่นได้พร้อมๆกัน" /> <h2>วิธีการเทรดคู่สกุลเงินหลัก?&nbsp;</h2> <p>หลังจากที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับคู่เงิน หากเราต้องการเริ่มเทรดคู่เงินหลัก เราจะเริ่มทำการเทรดได้อย่างไร? ด้านล่างนี้คือขั้นตอนง่ายๆในการเริ่มเทรด&nbsp;</p> <h3>1. เลือกโบรกเกอร์</h3> <p>การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญ ThinkTrader จาก ThinkMarkets เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะใช้งานง่าย มีข้อมูลครบถ้วน เครื่องมือที่สะดวกสบาย และมีคู่สกุลเงินให้เลือกหลากหลาย เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ&nbsp;</p> <h3>2. สร้างบัญชี</h3> <p>หากคุณต้องการทดลองโดยไร้ความเสี่ยง สามารถเริ่มได้ด้วยบัญชีเงินทดลองเดโม่ แต่หากคุณพร้อมที่จะลงทุนและทำให้เงินทุนของคุณงอกเงยก็สามารถเริ่มด้วยบัญชีเงินจริงได้เลย&nbsp;</p> <h3>3. เลือกคู่สกุลเงิน</h3> <p>คุณสามารถเลือกคู่เงินที่ต้องการเทรดได้โดยพิจารณาจากข่าวเศรษฐกิจที่คุณติดตามและความผันผวนที่คุณต้องการ เช่น:&nbsp;&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li>USD/JPY (เพราะเหมาะสำหรับตลาดเอเชีย)&nbsp;</li> </ul> <ul> <li>EUR/USD (คู่เงินที่ได้รับความนิยมสูงสุด)&nbsp;</li> </ul> <ul> <li>AUD/USD (ประเทศส่งออกทองคำเหมาะกับคนชอบเทรดทอง)&nbsp;</li> </ul> <h3>4. วางคำสั่งซื้อขาย</h3> <p>เลือกเปิดคำสั่งซื้อขายตามการวิเคราะห์จากปัจจัยด้านต่างๆ&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>Buy (Long):</strong> หากคุณคาดว่าค่าเงินหลักจะ <strong>แข็งค่า</strong> เมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง&nbsp;</li> </ul> <ul> <li><strong>Sell (Short):</strong> หากคุณคาดว่าค่าเงินหลักจะ <strong>อ่อนค่า</strong> เมื่อเทียบกับส กุลเงินอ้างอิง&nbsp;</li> </ul> <h3>5. ติดตามและวิเคราะห์ตลาด</h3> <p>การติดตามตลาดเป็นสิ่งสำคัญ ใช้เครื่องมือที่ ThinkTrader มีให้ เช่น:&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>กราฟราคา (Price Chart):</strong> ที่สามารถดูได้หลายสกุลเงินพร้อมๆกัน ง่ายต่อการมองภาพรวม&nbsp;</li> </ul> <ul> <li><a href="/th/trading-academy/thinktrader/calendar-interface/" target="_blank"><strong>ปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar)</strong></a><strong>:</strong> สามารถเลือกกรองเฉพาะข่าวที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินที่เทรด และตั้งแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ เพื่อที่คุณจะไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ&nbsp;</li> </ul> <ul> <li><strong>อินดิเคเตอร์ (Technical Indicators): </strong>สามารถติดตั้งได้ไม่จำกัด เพื่อความยืดหยุ่นในการเทรด&nbsp;</li> </ul> <ul> <li><strong>บทวิเคราะห์:</strong> มีบทวิเคราะห์ข่าวที่ทำให้คุณทันเหตุการณ์อยู่เสมอ&nbsp;</li> </ul> &nbsp; <h3>6. บริหารความเสี่ยง</h3> <p>การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการตั้ง Stop-Loss (SL) และ Take-Profit (TP)&nbsp;&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>ตั้ง Stop-Loss:</strong> เพื่อจำกัดการขาดทุน หากราคาคู่เงินไม่เป็นไปตามที่คาด&nbsp;</li> </ul> <ul> <li><strong>กำหนด Take-Profit:</strong> เพื่อปิดการซื้อขายเมื่อมีกำไรตามเป้าหมาย&nbsp;</li> </ul> <ul> <li>ลงทุนเฉพาะจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะเสี่ยง&nbsp;</li> </ul> <h2>สรุป</h2> <p>คู่สกุลเงิน (Currency Pair) คือการจับคู่ระหว่างสองสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายในตลาด Forex ซึ่งสกุลเงินเหล่านี้ถูกจับคู่เพื่อแสดงค่าของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง เช่น EUR/USD ที่แสดงถึงมูลค่าของ 1 ยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ การซื้อขายในตลาด Forex เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนมูลค่าระหว่างสองสกุลเงิน โดยผู้เทรดสามารถซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน<br /> <br /> คู่สกุลเงินแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ คู่เงินหลัก (Major Currency Pairs), คู่เงินรอง (Minor Currency Pairs), และคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Currency Pairs) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัว โดยคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด Forex ได้แก่ EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, AUD/USD, USD/CAD, และ NZD/USD ซึ่งเหมาะสมกับนักเทรดที่มีระดับความเสี่ยงและกลยุทธ์ต่างกัน</p> <p>&nbsp;</p>

11 min readผู้เริ่มต้น

Forex

ฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละสกุลเงินเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์