4. Free Margin (มาร์จิ้นที่ใช้งานได้) คืออะไร?
|
Free Margin คือจำนวนเงินในบัญชีของเทรดเดอร์ซึ่งไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานะการเทรดใดๆ และสามารถคำนวณโดย
ในตัวอย่างนี้ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิในบัญชีของเทรดเดอร์อยู่ที่ $10,000 และผู้ซื้อขายเปิดสถานะการเทรดที่มีมูลค่าอยู่ที่ $100,000 พร้อมด้วยเลเวอเรจ 1:200 Used Margin (ยอดเงินที่ใช้เป็นมาร์จิ้น) จะเป็น $500 ตามที่คำนวณไว้ก่อนหน้านี้ Free Margin (มาร์จิ้นที่ใช้งานได้) ที่เหลืออยู่ในบัญชีสามารถคำนวณได้ตามนี้
Free Margin (มาร์จิ้นที่ใช้งานได้) ที่เหลือนี้สามารถปล่อยไว้ตามลำพังเพื่อรักษาระดับมาร์จิ้นของบัญชี หรือใช้เพื่อเปิดสถานะการเทรดใหม่ตามกลยุทธ์ของเทรดเดอร์
Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) เป็นตัวบ่งชี้ว่า Equity (สินทรัพย์สุทธิ) ในบัญชีถูกผูกไว้กับออเดอร์เทรดไว้ในตลาดมากเท่าใหร่ ซึ่งเราจะอทิบายให้กระจ่างในหัวข้อถัดไป
5. Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) คืออะไร?
|
ตามที่เราได้เกริ่นก่อนหน้านี้ว่า Margin Level หรือ ระดับมาร์จิ้น นั้นเป็นตัวบ่งชี้ของอัตตราส่วนว่า Equity (สินทรัพย์สุทธิ) ของบัญชีเทรดเดอร์นั้นเป็นกี่เท่าของ Used Margin (ยอดเงินที่ใช้เป็นมาร์จิ้น) Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) นั้นสามารถคำนวนเป็นเปอร์เซ็นต์ตามสูตรคำนวนด้านล่างได้เลย
จากตัวอย่างก่อนหน้านี้เราสามารถคำนวนด้วยสูตร Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) ตามการคำนวนด้านล่าง
จากสูตรการคำนวนเราก็จะได้ Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) อยู่ที่ 2000% ซึ่งหมายอัตตราส่วนของ สินทรัพย์สุทธิเทียบกับยอดเงินที่ถูกใช้เป็นมาร์จิ้นเป็นอยู่ที่ 20 เท่า ซึ่ง Margin Level ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประมาณการว่าพอร์ตโฟลิโอของเทรดเดอร์เหลือความยื่ดหยุ่นมากแค่ไหน
6. ระดับมาร์จิ้นที่ปลอดภัยควรอยู่ที่เท่าไหร?
|
ตอนนี้เราได้ครอบคลุมหัวข้อ Margin Call (มาร์จิ้นคอล) แล้ว มาเรียนรู้กันต่อว่าเทรดเดอร์สามารถป้องกันไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร เนื่องจากเราทุกคนรู้ดีว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ดังนั้นเรามาเรียนรู้วิธีปกป้องบัญชีของเราจากการถูก Margin Call (มาร์จิ้นคอล) กัน
นี่คือตัวอย่างของสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในการซื้อขายจริงซึ่งอาจทำให้เกิดการ Margin Call (มาร์จิ้นคอล) ได้
ในตัวอย่างนี้ เราเห็นว่าบัญชีตัวอย่างก่อนหน้านี้เกิดการขาดทุนหนักซึ่งทำให้มูลค่าของ Equity (สินทรัพย์สุทธิ) ลดลงมาอยู่ในระดับที่ถูก Margin Call (มาร์จิ้นคอล) ได้ จากสูตรคำนวนก่อนหน้านี้เราสามารถคำนวน Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) ของบัญชี ณ ขณะนี้ได้
อย่างที่เห็นเมือเรานำส่วนที่ขาดทุนมาคิดรวมกับ Equity (สินทรัพย์สุทธิ) เทรดเดอร์จะพบว่า Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) นั้นตกลงมาต่ำกว่าที่ 100% แล้ว ซึ่งจะโดน Margin (มาร์จิ้นคอล) แน่นอนและอาจจะลามไปถึงการ Liquidation (ชำระบัญชี/ล้างพอร์ต) ได้
แล้วเราจะป้องกันไม่ให้เราตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
6.1 เทรดโดยมีจุดตัดขาดทุน
อย่างแรกเลยคือการมี Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) ไม่ว่าจะเป็นการ กดปิดออเดอร์เอง (ปิดมือ) ที่ระดับที่เราวางแผนไว้ หรือ จะตั้ง Stop Loss ให้เทรดปิดเองอัตโนมัติ ทั้งสองวิธีเป็นป้องกันไม่ให้เงินทุนของเทรดเดอร์เสียหายหนักจากการถือและปล่อยให่ออเดอร์ที่ขาดทุนลากจนเงินในพอร์ทท่านหมด
6.2 รู้ว่าเทรดเดอร์ยอมรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
อย่างที่สองคือการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ท่านสามารถยอมรับได้ ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์จะเสี่ยง 2% ของพอร์ตโฟลิโอของเทรดเดอร์ต่อการเทรด เทรดเดอร์สามารถคำนวณขนาดล็อตของคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ก่อนที่จะเข้าสู่การซื้อขายเพื่อรักษาผลกำไรและขาดทุนของเทรดเดอร์ให้คงที่
ตามภาพด้านบนอย่างที่เทรดเดอร์เห็นออเดอร์เทรดทั้งคู่มีมีจำนวน Pip ที่ค่อนค่างแตกต่างกัน ในจุดทำกำไร & จุดตัดขาดทุน
แต่เทรดเดอร์ก็สามารถใช้ Lot Size ที่ต่างกันเพื่อให้จำนวนกำไรและขาดทุนมีขนาดที่เท่ากัน ถึงเทรดเดอร์บางท่านอาจจะบอกว่าท่านต้องการกำไรที่สูงและการขาดทุนที่ต่ำ แต่ท่านต้องมองในมุมกลับด้วยว่ามันก็จะมีครั้งที่ท่านเสียหายหนักและได้กำไรเพียงนิดเดียวซึ่งจะไม่สามารถครอบคลุมการเสียหายก่อนหน้าได้
6.3 รักษาระดับมาร์จิ้นให้อยู่ในระดับที่ดี
Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) ที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยควรเหลือสูงกว่าประมาณ 150 - 200% เนื่องจากมีระดับการรองรับก่อนที่จะตกลงไปสู่ระดับ Margin Call (มาร์จิ้นคอล)
ในการเทรดท่านอาจจะโชคดีครั้งสองครั้งได้ แต่ถ้าท่านไม่มีการควบคุมความเสี่ยงที่ดี และ ระบบเทรดที่คงที่ ใช้เวลาไม่นานที่ท่านจะคืนกำไรกลับสู่ตลาดพร้อมกับขาดทุนเพิ่มเติมด้วย
ดังนั้น การมี Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) มีความเสี่ยงที่เหมาะสมต่อการซื้อขาย และไม่เทรดด้วยขนาดออเดอร์ที่ใหญ่มากเกินไป (Overtrade) เทรดเดอร์จะสามารถรักษา Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) ที่สูงได้อย่างง่ายดาย
Margin Call (มาร์จิ้นคอล) จะเกิดขึ้นเมื่อ Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) ตกลงไปต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด, ที่ ThinkMarkets ระดับ Margin Call level ถูกตั้งไว้ที่ 100% เพื่อดำรงตำแหน่งการเทรดปัจจุบัน (มาร์จิ้นที่ใช้)
เมื่อทุนรวม (Net Equity) ต้ำกว่าเวลา Margin Call (มาร์จิ้นคอล) เกิดขึ้นทางโบรกเกอร์จะแจ้งให้เทรดเดอร์ปิดสถานะบางสถานะ หรือ เพิ่ม Equity (สินทรัพย์สุทธิ) เพิ่มเติมมิฉะนั้นนั้นโบรกเกอร์จะต้อง Liquidate (ชำระบัญชี/ ล้างพอร์ต) สถานะการเทรดที่เปิดอยู่โดยเริ่มจากตำแหน่งที่ขาดทุนมากที่สุดจนกว่ามาร์จิ้นจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า Margin Call (มาร์จิ้นคอล) ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถป้องกันตัวเองจากการโดน Margin Call (มาร์จิ้นคอล) ได้โดยใช้ Stop loss เพื่อป้องกันการเสียหายหนัก มีการบริหารความเสี่ยงที่ระบบท่านกำหนดไว้ และ ไม่เทรดด้วยขนาดออเดอร์ที่ใหญ่มากเกินไป (Overtrade) และ เทรดตามระบบการเทรดของท่าน
หากเทรดเดอร์นำแนวทางในบทความไปประสมประสานกับระบบเทรดขอนท่าน เทรดเดอร์จะสามารถรักษาระดับมาร์จิ้นที่ปลอดภัยอยู่ที่ประมาณ 150% หรือสูงกว่านั้นได้อย่างสบายๆ การที่มี Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) อยู่ในระดับที่ปลอดภัยที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของบัญชีเทรดของท่านและป้องกันการโดนล้างพอร์ตได้